วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

note

การเดินทางไปเที่ยว Switzerland / 8 วัน

เดินทางกลางคืนวันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2558

                                                           เช้า                          บ่าย                        ที่พัก

Day 1อาทิตย์ 26 เมษายน 58   เที่ยวเมือง Luzern / ล่องเรือเที่ยวเทือกเขา ริกิ / โรงแรม alpha  Luzern   
     
Day 2 จันทร์ 27 เมษายน 58      เที่ยวเทือกเขาTitis /   เที่ยวเมือง Bern    /    youthhostel เมือง Bern

Day 3 อังคาร 28 เมษายน 58    ทะเลสาบ Thun     /  เที่ยวเมือง Interlaken  / Interlaken hotel

Day 4 พุธที่ 29 เมษายน 58      เทือกเขาจุงเฟรา      /   เมือง Zermatt    /   Youth hotel Zermatt

Day 5 พฤหัสบดี 30 เมษายน 58  เทือกเขา Mattelhorn /  กลับ Zuric  / ที่พัก Zuric olympiahotel   

Day 6 ศุกร์ 1 พฤษภาคม 58 เมืองSchaffausen (น้ำตกไรน์) / เมือง Stein am rhain / ที่พัก Zuric olympiahotel   

Day7 สาร์ที่ 2 พฤษภาคม 58 เมืองSt.Gallen / เมืองAppenzell / Zuric ยามเย็น/ที่พัก Zuric olympiahotel   
Day8 อาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 58 เดินทางกลับเมืองไทย เครื่องออกตอน 13.00




------------------------------------------------
All Map

Day 1อาทิตย์ 26 เมษายน 58   เที่ยวเมือง Luzern / ล่องเรือเที่ยวเทือกเขา ริกิ
          Swiss Pass คลิก
         แผนที่เที่ยว Luzern
         แผนที่เที่ยวเขาริกิ
         โรงแรม alpha
           ร้าน Coop Take it 
         รีวิวร้าน Coop Restaurant
     


Day 2 จันทร์ 27 เมษายน 58      เที่ยวเทือกเขาTitis /   เที่ยวเมือง Bern
          แผนที่ Engelbert สู่เทือกเขา Titis
          แผนที่เมือง Bern
       วิธีขึ้นรถราง กดปุ่มสีเขียวเพื่อเปิดประตู
       โรงแรม youthhostel.ch/de/hostels/bern
         ร้านชื่อ Restaurant Zunft zu Webern ดูแผนที่ร้านได้ที่ แผนที่ ร้าน เมือง Bern


Day 3 อังคาร 28 เมษายน 58    ทะเลสาบ Thun     /  เที่ยวเมือง Interlaken
            แผนที่เมือง Interaken
            โรงแรม Backpackers Villa Sonnenhof
            รีวิว Coop Restaurant


Day 4 พุธที่ 29 เมษายน 58      เทือกเขาจุงเฟรา      /   เมือง Zermatt
           แผนที่ เทือกเขาจุงเฟรา
           ตารางเช็คเวลารถไฟ
           โรงแรม Youth hotel Zermatt
            แผนที่ Zermztt
       

Day 5 พฤหัสบดี 30 เมษายน 58  เทือกเขา Mattelhorn /  กลับ Zuric
           แผนที่ Zermztt
           แผนที่ Mattelhorn 
           ที่พัก Zuric olympiahotel   
           Zuric Map


Day 6 ศุกร์ 1 พฤษภาคม 58 เมืองSchaffausen (น้ำตกไรน์) - เมือง Stein am rhain 
          แผนที่เที่ยวเมือง Schaffausen
          แผนที่เที่ยวเมือง Stein am Rhein
           Zuric Map


Day7 สาร์ที่ 2 พฤษภาคม 58 เมืองSt.Gallen / เมืองAppenzell / Zuric ยามเย็น
          แผนที่ ที่เที่ยวเมือง St.Gallen
          แผนที่ เมือง Appenzell
            Zuric Map


Day8 อาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 58 เดินทางกลับเมืองไทย เครื่องออกตอน 13.00 
           Zuric Map



วันเสาร์   25 / 04 / 2015

  1. เดินทางด้วยสายการบิน Aeroflot ใช้เวลา15 ชั่วโมง ต่อเครื่อง 
ขาออก: กรุงเทพ - ซูริค   วันเสาร์, 25 เมษายน 2015  10:40กรุงเทพ (Bkk) -   20:55 ซูริค (ZRH)




เตรียม
- passport

- Visa 
- Swiss pass
- เงิน 
- บัตรเครดิต


-- นั่ง สายการบิน Aeroflot


ถึง เวลา 21.00 เข้าพักที่ Zurich Youth hotel 
Zuric Map



             กิจกรรม
           - valid swiss pass    Swiss Pass คลิก
           - เช่า Wifi router ที่ร้าน Swiss com 
           - เดินทางไป Zurich HB




หลังจากลงเครื่องกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรามาดูขั้นตอน การรับกระเป๋า และเดินทางเข้าเมืองกัน
เดินตามป้าย Arrival ไปยังสถานีรถไฟที่วิ่งเชื่อมต่อระหว่าง Gate กับ Terminal
รอไม่นานเพราะรถมาทุก 2 นาที
จากนั้นก็ผ่านด่านตรวจตม. รับกระเป๋า
เดินตามป้าย Bahn Train ไป


เมื่อรับกระเป๋า ก็เดินทางไปปั้ม Swiss pass 




ถึงแล้วก็ลงไปชั้นใต้ดิน Valid Swiss Pass ให้เรียบร้อย 






เคาเตอร์ Swiss pass










จากนั้นมองหาร้าน Swiss Com 
เพื่อเช่า Wifi Router 

เตรียม - Pass port / Credit Card 


Huawei Mobile Travel Hotspot












จากนั้น ก็เดินไปเพื่อขึ้นรถไฟ จากสนามบิน เข้าเมือง Zuric (Zurich HB)











ดูสถานีที่ไป (Zurich HB) 
จากในภาพ เวลา 7.43 ชานชลาที่ 3 




                                        เดินตามป้าย Platform 3 ไปเลย ไม่ต้องหยอดตั๋วใดๆ 



ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีก็มาถึงสถานีรถไฟ Zurich HB
สถานีหลักของเมืองซูริค 
มาแล้วจ้ารถไฟด่วนเข้าเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ 2 ชั้น
ของเยอะก็เลือกนั่งด้านล่างกันจะได้ไม่ต้องยกให้เมื่อย



เมื่อถึง (Zurich HB) เข้าโรงแรมพักผ่อน เตรียมลุยในวันพรุ่งนี้ 

นั่งไปลง สถานี Zurich Brunau สาย S4




วันอาทิตย์  26 / 05 / 2015 

เมื่อถึง (Zurich HB) 

ก็ให้ดูตารางรถไฟ เดินทางต่อไปยัง Lusern  
ดูชานชลาแล้วไปยืนรอขึ้นรถไฟได้เลย ตรวจเช็คด้วยว่า ชั้นที่ 2 อยู่ตรงส่วนไหนของรถไฟ 
มีรถไฟ IR วิ่งตรงมายัง Luzern ทุกครึ่งชม.สะดวกมากๆ ใช้เวลาเพียง 45 นาทีก็มาถึง

หน้าสถานีรถไฟ Luzern

Luzern Day 1 

ตอนที่ 1
นั่งจาก Zuric ถึง luzern 

ช่วงเช้า 

check in ที่โรงแรม โรงแรม alpha  เก็บกระเป๋า แล้ว เดินเที่ยวตามแผนที่ได้เลย 





จากนั้น เดินข้าม สะพานไม้ Kapellbrucke (คาเพลล์บรึคเคอ)
ชมวิวสวยๆ ตอนเช้าๆ ริมสองฝั่งของแม่น้ำรอยส์
ข้ามฝั่งมาแล้วก็แวะถ่ายรูปกับโบสถ์ Jesuitenkirche (เยซูอิดเท่นเคียร์เค่อ) โบสถ์สไตล์บาร็อคที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดในสวิส เพราะสร้างมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1666-1673 โดยเด่นด้วยหอคอยคู่ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับสุเหร่าของทางศาสนาอิสลาม
ตรงไปตามทางเรื่อยๆ ชมวิวแม่น้ำที่มักจะมีบรรดาฝูงหงศ์แหวกว่ายน้ำกัน
เดินเลาะเลียบไปเรื่อยๆ จะเจอ สะพานไม้ Spreuerbrucke (สปอยเออบรึคเคอ) สะพานไม้เก่าแก่ซึ่งเราจะใช้ข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามกันเพื่อขึ้นไปชมวิวบนหอคอยกำแพงเมือง
รีวิวเส้นทางเดินขึ้นไปชมวิวบนกำแพงเมืองเก่าลูเซิร์น
หลังจากดื่มด่ำกับวิวอันสวยงามของเมืองเก่าลูเซิร์นแล้ว ก็เดินลงเนินตามแผนที่ ลอดใต้กำแพงเมืองเก่าไป
ผ่านตึกสวยๆ ซ้ายมือ เค้านำต้นไม้จำพวกไม้เลื้อยมาปลูก เลี้ยวซ้ายตรงถนนใหญ่ด้านหน้าเลย
เดินตรงไปเรื่อยๆ จนถึงแยกใหญ่ (ที่มีรถบรรทุกสีเหลือง)
แวะถ่ายรูปกับร้านอาหาร Old Swiss House ภัตตาคารเก่าแก่สไตล์สวิสชาเล่ต์ ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปคู่ด้วย
รีวิว Old Swiss House
จากนั้นเดินตรงไปตามลูกศรสีฟ้าเลยเพื่อไปชมอนุสาวรีย์สิงโตหินเกะสลักอันเลื่องชื่อ
รีวิวอนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น (Lion Statue) หรือ เลอเวนเดงก์มัล (Lowendenkmal)
ติดกับอนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น แวะชมพิพิธภัณฑ์สวนธารน้ำแข็งกันก่อนฟรีๆ กับ Swiss Pass
รีวิว Gletschergarten & Glacier Museum
ปิดทริปช่วงเช้าด้วยวิวสวยๆ จาก Hofkirche (ฮอฟเคียร์เคอ) โบสถ์หอคอยคู่ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์น โบสถ์นี้เป็นโบสถ์แห่งแรกของเมืองที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 จากนั้นถูกไฟไหม้ในปี 1633 จึงมีการสร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบเรเนซองซ์
ด้านในมีรูปปั้นของนักบุญ Leodegar และ Mauritus นักบุญแห่งเมืองเก่าลูเซิร์น ใครพอมีเวลาก็สามารถแวะเข้าไปชมกันได้
ขากลับเข้าไปก็เดินเลาะเลียบแม่น้ำ บรรดาผู้คนก็จะออกมานั่งเล่นพักผ่อน ให้อาหารหงส์กัน
เห็นเทือกเขาพิลาทุสกันเต็มๆ
เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำมายังฝั่งสถานีรถไฟ อย่าลืมหันหลังไปถ่ายวิวสวยๆ ของโบสถ์ Hofkirche จากบนสะพานกันด้วยล่ะ
ยังพอมีเวลากันก่อนทริปรอบบ่ายไปยอดเขาริกิ มาเดินชมเมืองเล็กน้อยกันก่อนรอบๆ สถานีรถไฟ ตึกโบราณหัวมุมแรกคือ ไปรษณีย์เก่าลูเซิร์น


ตอนที่ 2

ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเที่ยงง่ายๆ ในราคาประหยัดที่ร้าน Coop Take it ร้านลูกของ Coop City                    รีวิวร้าน Coop Take it  ซื้ออาหารเย็นตุนไว้ด้วยนะ

ก็ไปล่องเรือ โดยเดินไปยัง ท่าเรือ

ตารางล่องเรือ 



ตามแผนที่ได้เลย 

หลังจากที่ลงที่ท่าเรือเมือง Vitznau กันแล้ว 


จากแผนที่ จะเห็นตัวเมือง Luzern อยู่ทางขวาล่าง การเดินทางไปขึ้นยอดเขาริกิ มี 3 วิธี คือ 1 ล่องเรือไปลงที่เมืองVitznau จากนั้นต่อรถไฟไต่เขาชมวิวขึ้นไป 2 ล่องเรือลงที่เมือง Weggis แล้วต่อกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไป 3 เดินทางด้วยรถไฟลงที่เมือง Goldau จากนั้นต่อรถไฟไต่เขา (คนละด้าน) ไปยอดเขาริกิ
ส่วนวิธีแนะนำที่ง่ายที่สุด คือ วิธีแรก ขึ่นเรือจากท่าเรือตรงเชิงสะพานข้ามแม่น้ำรอยส์ โดยเรือจะออกทุกๆ นาที ที่ 12
Swiss Pass ขึ้นฟรีเหมือนเดิมจ้า!!
ฤกษ์งาม ยามดี ได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว แดดดีๆ กับอากาศเย็นสบาย ชมวิว 2 ข้างทางกันชิลล์ๆ
แต่ถ้าใครไม่ชอบหนาวๆ ก็เข้าไปหลบด้านในเรือได้ เรื่อค่อนข้างกว้างใหญ่ทีเดียว รับผู้โดยสารได้เที่ยวนึงประมาณ 200 คน
ชาวสวิสก็ออกมาเล่นเรือใบกัน น่าอิจฉามากอ่ะ
น้ำในแม่น้ำรอยส์ที่เชื่อมออกต่อกับทะเลสาบ Luzern ก็ใสกิ๊ง ออกฟ้าเขียว ว่ากันว่า ความเขียวหรือฟ้าของน้ำในแต่ละพื้นที่นั้น จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความลึกและแร่ธาตุต่างๆ ที่ละลายปนอยู่ในน้ำ
ไม่ช้าไม่นานก็ถึงเมือง Weggis เรือจะแวะจอดให้ผู้โดยสารได้ขึ้นลง (เรือจะจอดเฉพาะท่าใหญ่ๆ หรือ ท่าเล็กที่มีคนรอจะขึ้นจะลงเท่านั้น)
เรือโดยสารนี่ มีตลอดๆ ทุกชั่วโมง สะดวกมากๆ
ใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงเมือง Vitznau กันแล้ว
ท่าเรือเมือง Vitznau





เมื่อถึงท่าเรือ ให้เดินไปขึ้นรถไฟไต่เขาริกิ สถานีอยู่ตรงท่าเรือเลย



เวลารถออกทุกชม. พอลงจากเรือปุ๊บให้เดินไปขึ้นรถกันเลย เพราะเค้าจะมารอรับผู้โดยสารที่ลงมาจากเรือพอดี (ตรงกับเวลาออกของรถไฟ)

ขบวนรถไฟสีแดงสด ของบริษัท Rigi Bahn มีหลายโบกี้ด้วยกัน แนะนำให้เลือกนั่งริมหน้าต่างเพื่อจะได้ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางได้
ผู้โดยสารเต็มขบวน แล้วก็เริ่มออกเดินทางกันได้
ใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 1 ชม.เศษๆ ก็เห็นยอดเขาริกิมาแต่ไกล (ตรงที่มีเสาอากาศตั้งอยู่)
แล้วก็มาถึงสถานีปลายทาง Rigi Kulm จะเห็นได้ว่ามีรถไฟอีกขบวนสีฟ้าจอดอยู่ ขบวนนี้สำหรับคนที่จะลงทางเมืองGoldau แล้วต่อรถไฟเข้า Luzern อีกทีนึง ส่วนใครที่จะนั่งเรือกลับทางเดิม ขากลับก็รอมาขึ้นขบวนแดงเหมือนเดิม
ถ่ายรูปกับป้ายข้างทางรถไฟนิดนึง ตรงป้ายนี้ มีความสูงอยู่ที่ 1752 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
จากนั้นก็เริ่มเดินขึ้นเนินไปยังยอดเขาริกิกัน ออกแรงกันหน่อยนึง ฮึบๆ
พอถึงทางแยกก็มีป้ายบอกทางน่ารักๆ ติดอยู่ เลี้ยวซ้ายสำหรับวัยรุ่น ทางชันนิดแต่ระยะใกล้กว่า ส่วนเลี้ยวขวา สำหรับมนุษย์ลุงและป้า สว. ทั้งหลาย ทางชันน้อยแต่เดินไกลกว่า เลือกกันตามสะดวกจ้า
วัยรุ่นอย่างเราเลี้ยวซ้ายโลด (จริงๆ แล้วขี้เกียจเดินเยอะมากกว่า 555)
ระหว่างทางก็มีแอ่งกองหิมะเล็กๆ ให้เด็กๆ มาปั้นเล่น ปาเล่นกันหนุกหนาน
แล้วก็มาถึงด้านบน มองลงไปเห็นทะเลสาบน้อยใหญ่ล้อมรอบ สวยงามมาก
มองลงอีกด้านแบบซูมๆ ก็เห็นวิวสถานีรถไฟตัดกับเทือกเขาเตี้ยๆ ด้านล่าง
สำเร็จแล้วกับภารกิจพิชิตยอดเขาริกิ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,797 เมตร ยอดเขาริกิ (Rigi Kulm) นี้ มีที่มาจากคำว่าMons Regina แปลได้ว่า ราชินิแห่งภูเขา เพราะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของยอดเขาอื่นๆ ได้รอบ 360 องศา
ป้ายบอกระยะเก๋ๆ จากยอดเขาริกิ ไปยังเมืองต่างๆ ทั่วโลก ไปกรุงเทพฯ 9,050 กิโลเมตร โอ้วววว..
ดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์สวยๆ กันแล้ว อำลากันด้วยภาพนี้กันเลยจ้า 
Bye Bye ..Rigi Kulm แล้วจะมาใหม่

ขากลับจากริกิ ก็นั่งรถไฟกลับมาลงที่ท่าเรือเมือง Vitznau เหมือนเดิม
เรือเที่ยวสุดท้ายออกเวลา 20.11 น.วิวยามเย็นสบายๆ


กลับมาอาจจะกินข้าวเย็น ที่ Coop Restaurant  รีวิวร้าน Coop Restaurant

กลับโรงแรม 
                                                   
Review -- รีวิวการท่องเที่ยว เมือง Luzern - ล่องเรือ เทือกเขาริกิ



----------------------------------


วันจันทร์  27 / 05 / 2015 


ตื่นเช้า เจอกับบรรยากาศดี กินอาหารเช้าที่โรงแรม 

เช็คเอาท์ Check out จากโรงแรม เดินทางมาสถานีรถไฟของ Luzern เพื่อเดินทางไป Engelberg

แนะนำให้ออกจาก Luzern ตอนเช้าเลย เพื่อไปถึงกระเช้าขึ้นเขาทิตลิสรอบแรกตอน 8.30 น.


ก่อนเดินทางฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี Luzern วิธีใช้เครื่องฝากกระเป๋า





ตัวอย่างตารางรถไฟ จากตัวอย่าง รถไฟจาก Luzern ถึง Engelberg และเดินทางสู่เทือกเขา Titis 



เมื่อเดินทางถึงสถานี Engelberg ก็เดินทางตามแผนที่ แผนที่ Engelbert สู่เทือกเขา Titis

ใช้เวลาเพียง 40 นาทีก็มาถึงเมือง Engelburg

แวะซื้อตั๋ว ขึ้นเทือกเขา  ที่สถานีได้เลย 
หน้าตาตั๋ว แถมโบรชัวร์กิจกรรมต่างๆ ที่สามารถขึ้นไปสนุกกันบนทิตลิสได้

แวะซื้อตั๋วกันก่อน ใช้ Swiss Pass เป็นส่วนลดได้ 50% 
ค่าตั๋วทั้งหมดรวม Ice Flyer แล้วอยู่ที่ 55 CF

จากนั้นก็นั่งรถ Free Shuttle Bus ไปส่งยังสถานี Engelburg BET ถ้าใครมาไม่ตรงกับที่รถออก (ทุกครึ่งชม.) ก็สามารถเดินไปได้ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ถึงแล้วกับสถานีจุดแรก Engelburg BET จากนี้เราจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปยัง ยอดเขาทิตลิส (Titlis)




จุดเริ่มต้น ก่อนขึ้นเขา  


บรรดานักกีฬาสกีก็มาเตรียมพร้อมกันเต็มไปหมด ถ้าใครอยากเล่นสกีก็มีร้านเช่าอุปกรณ์สกีให้ด้วย





จุดที่ 1กระเช้า Gondola Lift


รอคิวขึ้นกระเช้ากัน ขนาดมารอบแรกแล้วยังเจอทัวร์จีนเลย TT เสียงดังมาก ถ้าใครขึ้นมาสายๆ นี่จะเจอเยอะกว่านี้อีก

เห็นเมือง Engelburg สวยๆด้านล่าง ไต่ระดับกันชันมาก



จุดที่ 2 ขึ้นไปยัง Trubsee
























ต่อ Step 2 ขึ้นไปยัง Trubsee ก็เริ่มเข้าสู่โซนหิมะกันแล้ว
ที่ Trubsee จะมีร้านอาหาร ลานสกี และทะเลสาบ (ไปได้ช่วงหน้าร้อนเดือนสิงหาคม)




















จุดที่ 3ต่อ ROTAIR 360 องศาขึ้นไปสู่ยังยอดเขาทิตลิสกัน

มุมยอดนิยม เล็งกันดีๆ จะได้วิวนี้จ้า ข้างล่างเป็นเหมือนทะเลหมอก ความรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์มาเลยอ่ะ (เว่อร์จริง 555)




ถึงแล้วเทือกเขาทิทิส

มีภาษาไทยต้อนรับกันด้วย นักท่องเที่ยวชาวไทยนี่ ไม่แพ้ใครในโลกจริงๆ

ไม่ทันไรก็มาถึงแล้วกับยอดเขาทิตลิส (Titlis) หนึ่งยอดเขาแนะนำเลยสำหรับการมาเที่ยวสวิส ถ้าไม่ได้มาจะพลาดอย่างแรง

กิจกรรมบนเทือกเขา 



หน้าตาตั๋ว แถมโบรชัวร์กิจกรรมต่างๆ ที่สามารถขึ้นไปสนุกกันบนทิตลิสได้











ตอนบ่าย เมื่อลงมาจากเขา เดินทางกลับเข้าเมือง Luzern 

อ่ะๆๆ อย่าลืม -- รับกระเป๋า ที่สถานี Luzern 

แล้วเดินทางไปยัง เมือง Bern 


ตัวอย่างตารางเดินรถไฟ ไปเมือง Bern



การเดินทางในเมือง Bern แผนที่เมือง Bern

วิธีขึ้นรถราง กดปุ่มสีเขียวเพื่อเปิดประตู 

สถานีรถไฟ Bern
หน้าสถานีรถไฟ 


เข้าเช็คอิน โรงแรม โรงแรม youthhostel.ch/de/hostels/bern

จากนั้นก็เดินทางเที่ยวในเมืองได้เลยย
ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งควรใช้รถราง

ชมวิวสวยๆ ของตัวเมือง Bern จาก Bern Munster
รีวิว Bern Munster
จบจากวิวสวยๆ เดินมาขึ้นรถเมล์สาย 12 ไปยังบ่อหมี
รีวิวบ่อหมี Baren Graben
เดินเล่นชมเมือง Bern
น้ำพุสวยๆ แห่งเมือง Bern
รีวิวหอนาฬิกา Zytglogge
ซุ้มประตูเมืองเก่า Kafigturn และอาคารรัฐสภา Bundeshaus Paliament


ร้านอาหารที่โรงแรมมีครัว จะซื้อของสดไปทำอาหารกินตอนเย็นก็ได้  
ร้านคือร้านไทยของคุณจารีย์ กับอีกร้านคือร้านพิมาน 

ร้านนี้ชื่อ Restaurant Zunft zu Webern ดูแผนที่ร้านได้ที่ แผนที่ ร้าน หาง่ายๆ ถ้ามาจากสถานีรถไฟ Bern Hbf ก็ให้เดินมาทางถนน Spitalgasse ตรงต่อมาถนน Marktgasse พอผ่านนาฬิกาโบราณ Zytglogge ก็จะเป็นถนน Kramgasse ที่มี Einsteinhaus อยู่ทางขวามือ เดินไปตามป้ายชี้ไปที่บ่อหมี Baerengraben ไปเรื่อยๆก็จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือเอง

เมนูวันนั้นที่ไปลองเป็นสเต๊กเนื้อชิ้นใหญ่หน้าตาดีมีชาติตระกูล และไก่ตัวย่อมๆทอดสไตล์ฝรั่งที่กินคนเดียวหมดแบบอิ่มพอดี ร้านนี้ยังมีเมนูฟองดู (Fondue) ที่เป็นเมนูประจำชาติสวิสให้เลือกสั่งกันได้อีกด้วยเวลาไปกินก็อย่าลืมสั่งเบียร์มาประกบสัก 2-3 แก้ว เสร็จแล้วก็เดินไปดูโค้งแม่น้ำ Aar ที่มีบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ยุโรปสวยงามมากมาย ข้ามสะพานต่อไปดูหมี (จริงๆแล้วจะไปดูทำไมวะถึงแม้มันจะเป็นประวัติเมืองเค้าแต่ว่าเขาดินก็มีนะเฮ้ยแถวบ่อหมีก็จะมีโรงเบียร์แจ่มๆบรรยากาศดีให้นั่งจิบต่อได้ (ถ้าใครยังเงินเหลือพอสำหรับเบียร์สดแท้ๆก็แนะนำนะ)


ร้าน tibits  Bahnhofplatz 10 3011 Bern Switzerland เป็นร้าน Vegetarian 


กลางคืนมีร้านนั่งชิว 
ปิดท้ายมื้อค่ำกับผับดังของเมือง Mr.Pickwick Pub
------------------
อังคารที่ 28 เมษายน 2558
อาหารเช้าทานที่โรงแรม แล้วเราก็ออกเดินทางจากโรงแรม ไปสถานีรถไฟ เมือง Burn ไป เมือง Thun รอบประมาณ 9 โมงเช้า ใช้เวลาเพียง 17 นาทีก็มาถึงเมือง Thun

เพื่อล่องทะเลสาบThun ไปลงยังเมือง Interlaken West 

เรือ Berner Oberland ออกจากท่าเรือ Thun THS ไป Interlaken West รอบแรกเวลา 9.40 น. และมีต่อไปเรื่อยๆ ทุกชม.  
-ขึ้นฟรีได้เลย 
-ซื้อของขึ้นไปกินบนเรือด้วย

ออกเดินทางจากเมือง Bern รอบประมาณ 9 โมงเช้า ใช้เวลาเพียง 17 นาทีก็มาถึงเมือง Thun จากสถานีรถไฟ Thun เดินออกมาทาง Kiosk ทางขวาจะเป็นท่าเรือ Thun THS

ท่าเรือThun THS

ก่อนจะถึงเวลาเรือออก มาดูแผนที่การล่องเรือของวันนี้กันก่อน ออกจาท่าเรือ Thun ล่องผ่านเมืองต่างๆ ผ่านปราสาท 3 แห่งที่สำคัญของทะเลสาบ Thun มีเมืองท่าสำคัญที่แวะจอดกันซักพักเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวที่ เมือง Spiez จากน้นล่องเรือต่อไปยัง Interlaken West ใช้เวลา ประมาณ 2 ชม.
ใกล้เวลาเรือออก นักท่องเที่ยวมาจากไหนมิทราบ เพียบเลย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวสวิสที่ค่อนข่างจะสว. กัน มานั่งเรือเล่นพักผ่อน ยิ่งเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เรือจะเต็มตลอดๆ
บรรยากาศบนเรือสำราญเป็นโซนอาหารบุฟเฟ่ต์ยามเช้า (Swiss Pass อย่างเราขึ้นเรือฟรีเท่านั้นนะ ถ้าอยากทานบุฟเฟต์ต้องเสียเงินเพิ่ม) ผู้โดยสารชั้น 1 จะอยู่ที่ชั้น 2 ของเรือ ส่วนชั้นประหยัดอย่างเราๆ ก็อยู่ชั้นล่างกัน
เลือกโต๊ะนั่งกันตามสบาย จะสั่งกาแฟ โกโก้ร้อนๆ มาดื่มกันก็ได้ ราคาก็อยู่ที่ประมาณแก้วละ 4 CF

พอเรือออกปุ๊บให้มองไปทางขวา จะเห็นวิวปราสาทแรก คือ ปราสาท Schdau (ชเดาว์) ปราสาทนี้ สามารถเดินไปชมได้จากสถานีรถไฟ Thun ที่เราเพิ่งลงมา ด้านในจะมีภาพวาด 360 องศา แสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองทูนสมัยก่อน ภาพนี้วาดโดยศิลปินที่มีชื่อว่า Marquard Wocher
จากนั้นไม่เกิน 10 นาที มองไปทางซ้ายมือ จะเห็นปราสาทที่โผล่ขึ้นมากลางป่า คือ ปราสาท Hunegg ก่อนจะถึงท่าเรือHilterfingen
ช่วงเช้านี้ แดดยังไม่ค่อยมี แถมมีหมอกมาด้วยเนื่องจากมีฝนตกมาเมื่อคืน บรรยากาศเลยดูเงียบสงบลงไปอีก บ้านเรือนต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Thun เรียงรายตามเนินเขา  มีเรือใบจอดอยู่ตามท่าเรือ ใครที่อยากมาพักผ่อนตากอากาศเงียบๆ ก็แนะนำมาที่เมือง Thun นี้ได้
จากนั้นไม่นานทางซ้ายมือเช่นกัน จะถึง ปราสาท Oberhofen ปราสาทที่เด่นที่สุดในบรรดา 3 แห่ง เพราะสร้างอยู่ริมทะเลสาบ และมีหอคอยปลายแหลมยื่นลงไปในน้ำเลย ปราสาทนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 ด้านข้างปราสาทจะมีท่าเรือซึ่งสามารถแวะลงไปชมด้านในปราสาทได้ แล้วก็กลับมาขึ้นเรือรอบต่อไปในอีก 1 ชม.ต่อมาได้
ไม่นานก็มาถึงท่าเรือเมือง Spiez เมืองท่าสำคัญที่เรือต้องมาจอดแวะรับส่งนักท่องเที่ยวกันอย่างคึกคัก (ท่าเรือเล็กๆ อื่นๆ ที่ผ่านมาจะจอดแวะเฉพาะถ้ามีคนขึ้นลง ถ้าไม่มีจะผ่านไปเลย)
ชั่วโมงกว่าๆ ที่ล่องมา แดดเริ่มมาละ ได้เห็นท้องน้ำสีฟ้าเขียวเต็มๆ ดูสดชื่นขึ้นมาหน่อย
ใครที่ชอบน้ำสีฟ้าๆ เขียวๆ แนะนำถ้ามีเวลาเพิ่มให้ไปล่องเรือที่ทะเลสาบ Brienz เพิ่มอีก ว่ากันฟ้าเขียวยิ่งกว่าที่ Thun ซะอีก ซึ่งเหตุผลที่เป็นอย่างนั้น มาจากหลายปัจจัย เช่น ความลึกของท้องน้ำ ความขุ่นใสของน้ำ
2 ชม. เต็มๆ ก็มาถึงท่าเรือ Interlaken West ถ่ายรูปคู่กับเรือ Berner Oberland ที่นั่งมากันหน่อย


มาถึงท่าเรือ Interlaken West เช็คอินที่ โรงแรม เข้าพักโรงแรม  โรงแรม Backpackers Villa Sonnenhof
พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้วช่วงบ่ายเดินทางไปเที่ยวที่
Interlaken Ost ก็เดินทางตามแผนที่ได้เลย แผนที่เมือง Interaken




Reservation number:12-161420
With this number you may modify or cancel your reservation until 24 hours prior arrival at:www.villa.ch.
Check in:28. Apr 2015
Check out:29. Apr 2015
# of nights:1
Room:5 persons in an Eco 6 bed dorm with sink (Private room)
Price per person, per night:CHF 39.00 (€ 32.50)*
*Exchange rates are subject to change
Services:
*Exchange rates are subject to change
Total:CHF 195.00 (€ 162.50)*
*Exchange rates are subject to change
Name:

Address:
Jutaporn Chongcharoensiri


Pink_ting.lovely@hotmail.com
Thailand
Credit card:Visa Exp: 07/19

logo_backpackers_villa.gifBackpackers Villa Sonnenhof
Alpenstr. 16, 3800 Interlaken, Switzerland
Phone +41 (0)33-826 71 71, Fax 826 71 72
Internet: 
www.villa.ch
, mail@villa.ch Online reservation: www.villa.ch/res

How to find Backpackers Villa Sonnenhof?
Backpackers Villa Sonnenhof is in walking distance from railway station Interlaken Ost (about 10-15 minutes) in the centre of Interlaken at Hoehematte park.
plan.gif


เช็คอินฝากกระเป๋ากันเสร็จก็ได้เวลาไปเดินเที่ยวเล่นในเมือง Interlaken กัน เมืองนี้เป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย ไม่ว่าจะ ไทย จีน เกาหลี เยอะมาก ขอบอก
มุ่งตรงตามถนนใหญ่ Hoheweg ถนนใหญ่ของเมือง เมือง Interlaken นี้ จัดดอกไม้สวยๆ กันตลอดเมือง สาวๆ แวะถ่ายกันเพียบ
ใครที่จะหาซื้อของฝาก ของที่ระลึก พวกนาฬิกา มีดพับ ช็อคโกแลต แนะนำมาขนกันที่เมืองนี้ได้เลย มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย
แวะเที่ยวพักจุดแรกกันก่อนที่สวนญี่ปุ่นด้านซ้ายมือ
ชอบน้ำประเทศนี้มากมาย ไม่ว่าจะน้ำในทะเลสาบ น้ำในสวนญี่ปุ่น บลาๆ มันใสมาก น่าลงไปเล่นจริง 555
หลังสวนญี่ปุ่นจะมีโบสถ์หลังใหญ่อยู่ จะเข้าไปเยี่ยมชมกันได้ไม่ว่ากัน
มุ่งหน้ากันต่อไป สองข้างทางจะมีตึกของโรงแรมหรูมากมาย สร้างได้สวยงามมาก สร้างในสไตล์วิคตอเรียย้อนยุค
จากนั้นก็มาแวะชิมช็อคโกแลตสดที่มีขายเฉพาะเมืองนี้กันที่ร้าน Swiss Chocolate Chalet ช็อคโกแลตอร่อย ราคาน่าคบหา
รีวิวร้าน Swiss Chocolate Chalet
จากนั้นก็เข้าไปชมร้านนาฬิกา Kirchhofer ร้านนาฬิกาหรู ที่นอกจากขายนาฬิกาแล้ว ยังมีกระเป๋าแบรนด์เนมขายอีกด้วย ร้านนี้เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดใน Interlaken
รีวิวร้านนาฬิกา Kirchhofer
หน้าร้านนาฬิกาจะมีรถไฟ City Tours ใครมาเที่ยวเป็นครอบครัวก็อยากพาน้องๆ ลูกๆ หลานๆ นั่งเที่ยวเมืองก็มาใช้บริการที่นี่ได้
สำหรับนักพนันกระเป๋าหนัก แนะนำมาวัดดวงกันได้ที่ Casino Kursaal คาสิโนหรูใจกลางเมืองอินเทอลาเค่น
จากนั้นก็มาถึงจุดชมวิวหน้าสนามหลวงแห่งอินเทอลาเค่น (แหม พูดไปได้) จุดนี้ เรียกว่า สวน Hohematte สามารถชมวิวยอดเขา Jungfrau ได้ในวันที่ฟ้าเปิด เสียดายที่วันนี้มีหมอกมาบังยอดเขาตรงกลางซะนี่ แต่ไม่เป็นเราเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปชมกันเต็มๆ ที่ Jungfraujoch ถ่ายกับดอกไม้สวยๆ ไปก่อนแล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นดอกทิวลิปสีขาวตูมๆ  หรือดอก Forget me not สีน้ำเงินเป็นช่อๆ

ชมวิวกันต่อ ผ่านหน้าอีกหนึ่งโรงแรมหรูสไตล์วิคตอเรีย โรงแรม Victoria Jungfrau  ใครที่พักที่นี่ก็จะมีโอกาสเห็นยอดเขาJungfrau ได้จากห้องพักเลย
ซุ้มดอกไม้สวยๆ หน้าโรงแรม เค้าจัดเต็ม แย่งลูกค้ากันสุดๆ อิอิ กว่าจะได้รูปนี้มาต้องฝ่าทัวร์จีนเข้าไป 555
มาช้อปกันให้กระเป๋าฮีกกันต่อที่ร้านนาฬิการ้านที่ 2 ที่ ร้าน Bucherer ร้านนี้เน้นขายนาฬิากหรู ราคาแพง ที่ร้าน Kirchhoferไม่มี อย่างเช่น Rolex ราคาตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้าน และสิบล้าน ขอดูอย่างเดียวละกัน 
รีวิวร้านนาฬิกา Bucherer 
ถัดจากร้านนาฬิกา ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามที่ร้านขนมและช็อคโกแลต Schuh ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1818
รีวิวร้านช็อคโกแลต Schuh

ตอนเย็น หลังจากกินข้าวเย็น อาจไปดูละครที่โรงละครกัน http://www.tellspiele.ch/


กลับที่พัก 

แผนที่  แผนที่เมือง Interaken

 ร้านช็อคโกแลตที่น่าแวะ http://switzerland-guides.blogspot.com/2014/07/schuh.html

ส่วนอาหารเย็นก็สามารถซื้อของสดที่ Coop ไปทำที่โรงแรมก็ได้ ส่วนอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ ทางโรงแรมมีให้ หรือจะไปกินCoop Restaurant ก่อนกลับโรงแรม
ปิดท้ายมื้อเย็นนี้ที่ Coop Restaurant หน้าสถานี Interlaken Ost
รีวิว Coop Restaurant





วันพุธที่ 29 เมษายน 2558  ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch) ในช่วงเช้า



การขึ้นสู่เยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch) นั้น สามารถนั่งรถไฟขึ้นได้ 2 ทางคือจาก สถานี Interlaken OST เลี้ยวไปทางเมือง Grindelwald หรือ เลี้ยวไปอีกทางที่เมือง Lauterbrunnen โดยหลังจากผ่านทั้งสองเมืองแล้ว รถไฟจะมาบรรจบกันที่สถานี Klein Scheidegg จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนรถไฟเป็นชบวนรถสายสีแดง ขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch)




ทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้วมาที่สถานี Interlaken west แล้วเดินทางไปที่ Interlaken Ost 

Interlaken Ost - ฝากกระเป๋า 
                        - ซื้อตั๋วขึ้นเขาจุงเฟรา


แผนที่ เทือกเขาจุงเฟรา  ขากลับจากเทือกเขาอย่าลืมเที่ยว เมืองที่สถานี สถานี Lauterbrunnen



ตั๋วขึ้นจุงเฟรานั้นสามารถซื้อได้ที่ห้องขายตั๋วสถานี Interlaken Ost (หรือใครจะซื้อไปจากเอเย่นต์ในเมืองไทยก็ได้) ส่วนSwiss Pass สามารถใช้เป็นส่วนลดในการซื้อตั๋วได้ 25%


ถ้าใครไม่ได้มีแผนแวะลงไปเดินเที่ยวในเมืองต่างๆ พวก Grindelwald หรือ Laubrunnen ก็แนะนำให้เลือกไปกลับทั้งสองขาผ่านทางเมือง Lauterbrunnen เพราะจะได้วิวข้างทางที่สวยกว่า แต่ถ้าใครจะแวะเที่ยวก็สามารถเลือกขึ้นลงคนละเมืองก็ได้ อันนี้แล้วแต่สะดวกจ้า ส่วนราคาของตั่วขึ้น Jungfraujoch นั้น อยู่ที่ 136 CF (หลังจากหักส่วนลดแล้ว) ราคาก็ค่อนข้างจะสูงทีเดียว เพราะฉะนั้นใครจะขึ้นไปก็เช็คอากาศให้ดีๆ ก่อน ไม่งั้นอาจมองไม่เห็นวิวสวยๆ เสียเงินฟรีได้ โดยสามารถไปแวะดูกล้อง Webcam จาก Tourist Information ตรงสถานีแบบ Real Time ได้
ตารางเวลารถไฟจาก Interlaken OST - Grindelwald - Kleine Scheidegg - Jungfraujoch
และจาก
Jungfraujoch - Klein Scheidegg - Wengen - Lauterbrunnen - Interlaken OST
นอกจากตารางด้านบนแล้ว ยังสามารถเช็คได้จาก ตารางเช็คเวลารถไฟ ปกติที่ใช้กันอยู่
ออกจาก Interlaken OST ไม่นานประมาณ 20 นาที ก็มาถึง Lauterbrunnen ซึ่งสามารถใช้ Swiss Pass ขึ้นมาได้ ส่วนใครที่ยังไม่ได้ซื้อตั๋วจุงเฟราก็สามารถแวะซื้อได้ที่นี่อีกเช่นกัน
จาก Lauterbrunnen เปลี่ยนรถไฟเป็นขบวนสีเหลืองเพื่อขึ้นไปยังสถานี Klein Scheidegg ใช้เวลาประมาณ 43 นาที
ระหว่างทางขึ้นก็จะได้เห็นวิวสวยๆ ของเมือง Lauterbrunnen ที่โดดเด่นด้วยน้ำตก Stabbach เดี๋ยวขาลงจะได้เห็นเต็มๆ กว่านี้อีก
จากนั้น รถจะแวะจอดที่เมือง Wengen กันแป๊บนึงเพื่อรับส่งผู้โดยสาร เมืองเวิงเงินนี้ เป็นเมืองพักผ่อนเงียบๆ ท่ามกลางหุบเขา ธรรมชาติ ใครสนใจมาแวะเที่ยวก็ได้ไม่ว่ากัน
จากเมือง Wengen รถไฟขึ้นมาสิ้นสุดที่สถานี Kleine Scheidegg จุดเปลี่ยนรถไฟสายสีแดงเพื่อขึ้นไปยังJunggraujoch สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป ที่สถานี Klein Scheedegg นี้ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,061 เมตร
ณ จุดนี้ รถจะจอดให้เปลี่ยนขบวน มีเวลาประมาณ 10 นาทีก่อนสายสีแดงจะออก ระหว่างนั้นก็สามารถแวะเข้าห้องน้ำ หรือ ถ่ายรูปกับยอดเขา 3 สหาย คือ Eiger - Monch - Jungfrau แต่ตอนนี้ หมอกยังลงอยู่เห็นไม่ชัดเดี๋ยวจะมาแวะถ่ายกันขากลับ
จากนั้นรถไฟขบวนสีแดงนี้ จะไต่ขึ้นเขาสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เข้าสู่อุโมงค์ที่เจาะเขาจุงเฟราเข้าไปที่สถานี Eigergletcher จากนั้นก็แวะจอดที่สถานี Eigerwand และ Eismeer ซึ่งจะจอดที่สถานีนี้ประมาณ 10 นาทีให้นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปธารน้ำแข็งในหุบเขา

มุมนี้จากจุดชมวิวที่สถานี Eismeer ยังมองไม่เห็นธารน้ำแข็ง เดี๋ยวต้องรอขึ้นไปบนยอดจุงเฟรา ณ จุดนี้ ความสูงอยู่ที่ 3,160 เมตร หรือกว่า หนึ่งหมื่นฟุตเข้าไปแล้ว
จากนั้นไปกันต่อ รถไฟสายสีแดงก็ไต่ระดับไปยังยอดเขา Jungfraujoch สถานีปลายทางที่เราจะลงไปเที่ยวชมวิวกัน
การเดินเที่ยวชม Jungfraujoch ให้ง่ายและครบถ้วนตามจุดต่างๆ นั้น เค้าแนะนำว่าให้เดินตามป้าย Tour ไปเรื่อยๆ ถ้าเลือกจุดหลักก็จะมี จุดแรกเริ่มจากสถานีรถไฟ ออกไปสู่ Jungfrau Panorama - ชมวิวหอคอย Sphinx -  Aletsch Glacier - Alpine Sensation - Ice Palace - Plateau
รีวิว Jungfraujoch
ขากลับก็มารอรถไฟที่สถานีเดิมที่ลง
ลงมากันที่สถานี Klein Scheidegg ฟ้าเปิดแล้วก็มาแวะถ่ายรูปยอดเขาสามเกลอกัน Eiger 3,970 m - Monch 4,107 m - Jungfrau 4,158 m
จากนั้นก็มาเปลี่ยนขบวนขาลง Lauterbrunnen ป้าย A ส่วนใครลงทาง Grindelwald ป้าย B

ขาลงพอรถไฟออกจากหมู่บ้าน Wengen ก็ให้หันหน้าทางซ้ายมือได้เลย จะเห็นเมือง Lauterbrunnen สวยๆ เมืองนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขา ใครมีเวลามีโอกาสแนะนำให้ไปพักกันซักคืน ขาลงนี่จะเห็นกันเต็มๆ เลยเกือบๆ 20 นาทีเต็ม
มุมมหาชน สำหรับเมือง Lauterbrunen คือ หมู่บ้านเนินขากับวิวน้ำตก Stabbach ตรงกลางก็เป็นยอดเขาจุงเฟราที่เราเพิ่งลงกันมา
น้ำตก Stabbach นี้ เป็นน้ำตกที่ไหลออกมาจากหน้าผาสูงกว่า 200 เมตร จุดขายสำคัญของเมือง เมือง Lauterbrunnenนี้ เป็นเมืองปลอดมลพิษ ห้ามรถยนต์เข้า
อีกซักรูปนึงปิดท้าย
จากนั้นก็มาแวะเปลี่ยนรถไฟกันที่สถานี Lauterbrunnen เหมือนเดิม สังเกตดีๆ ว่าจะสามารถเห็นน้ำตก Stabbach ได้จากสถานีเช่นกัน
ขากลับจากเทือกเขาอย่าลืมเที่ยว เมืองที่สถานี สถานี Lauterbrunnen







กลับมาถึง Interlaken OST เอากระเป๋าใน Locker ก็ออกเดินทางกันต่อไปยังเมือง Zermatt การไปเมือง Zermatt นี้ จะแวะเปลี่ยนสถานี 2 ครั้ง คือที่เมือง Spiez และเมือง Visp ใช้เวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 2 ชม.


ออกจาก Interlaken OST รถไฟจะวิ่งผ่านทะเลสาบ Brienz ก็นั่งชมวิวกันไปเพลินๆ
แวะเปลี่ยนขบวนกันที่เมือง Spiez และ Visp ตามลำดับ
ไม่ช้าไม่นานก็มาถึงสถานี Zermatt มีป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวหลากหลายภาษารวมทั้งภาษาไทยเราด้วย


พอถึง สถานี เราสามารถไปชม 
สำหรับขึ้นไปชม Matterhorn

ส่วนสถานี Gornergrat-Bahn (Zermatt GGB) สำหรับขึ้นไปชม Matterhorn นั้นก็อยู่ใกล้ๆกันกับสถานี Zermatt เดินเลี้ยวซ้ายออกไป 50 เมตรก็ถึง


ออกจากสถานี ไปเช็คอินที่ โรงแรม 
Youth hotel Zermatt


หน้าสถานีรถไฟ Zermatt



แผนที่เที่ยว Zermatt แผนที่ Zermztt



จะเป็นแหล่งจอดรถแท็กซี่ หรือ รถรับส่งของโรงแรม รถเหล่านี้ ขนาดประมาณรถตุ๊กตุ๊กบ้าน เรา รูปร่างแบบกล่อง ใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
ราคาค่าบริการแล้วแต่ตกลง
จากหน้าสถานี เดินผ่านถนน Bahnhofstrasse ถนนสายหลักของเมือง 2 ข้างทางเป็นร้านค้า ร้านอาหาร
ร้าน Coop ขายอาหารราคาไม่แพง
ซักกลางๆ ถนนจะเป็นร้านเหล้า ผับบาร์
บ้านในเมือง Zermatt ส่วนใหญ่สร้างในสไตล์ของสวิสชาเล่ย์ ด้านล่างมักเป็นร้านขายของ ชั้นบนจึงเป็นที่พักอาศัย ในรูปนี่ก็ร้านนาฬิกา Bucherer ที่มีสาขาทุกเมือง
ร้านขายของที่ระลึกเป็นพวกตุ๊กตาซะส่วนมาก
ขาดไม่ได้เลยกับ St.Bernard น้องหมาพันธุ์นี้ เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์เมือง Zermatt โดยที่เค้าจะเลี้ยงไว้ตามภูเขาหิมะต่างๆ เนื่องจากเป็นหมาที่มีร่างกายขนาดใหญ่ แข็งแรง สามารถช่วยชีวิตคนที่ถูกหิมะถล่มได้ ที่ปลอกคอน้องหมา จะมีถังบรรจุเหล้าองุ่น เวลาไปเจอคนบาดเจ็บ ก็จะสามารถนำมาดื่มให้ความอบอุ่นได้ ระหว่างที่รอทีมกู้ภัยมาถึง เพื่อนๆสามารถเห็นได้ตอนขึ้นไปชม Matterhorn บนยอดเขา Gornergrat วันไหนอากาศดีๆ ร้านถ่ายรูปด้่านล่างเค้าจะพาน้องหมาขึ้นไปถ่ายรูปคู่กับเราด้วย (เสียตังค์นะจ้ะ)
จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Hinterdofstrasse จะเจอกับบ่อน้ำพุ Ulrich Inderbinen ปากทางเข้าหมู่บ้านโบราณHinterhof
บ้านโบราณในหมู่บ้าน Hinterdorf แห่งนี้ เป็นหมู่บ้านไม้โบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 - 19
มีอยู่ประมาณสิบกว่าหลังคาเรือน ปลูกติดๆ กัน นิยมสร้างบันไดขึ้นชั้นสองไว้ด้านนอกตัวบ้าน
จากการเดินดูสำรวจใกล้ๆ ไม้เก่ามาก ลองเดินขึ่นบันไดดูได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
บ้านบางหลังในปัจจุบันยังมีคนอยู่ ถ้าสภาพดีๆ ก็จะเปิดด้านบนเป็นโรงแรมให้คนพัก (แบบจองล่วงหน้า ส่วนตัวหน่อย)
บ้านบางหลังก็สร้างไว้เป็นยุ้งฉาง เก็บฟืน เก็บฟาง
บางหลังก็ทำเป็นบาร์เบียร์ให้นั่งจิบกันยามค่ำคืน
ชมหมู่บ้านกันซัก 20 นาที เดินกลับมาถนนสายหลักเส้นเดิน ตรงไปเรื่อยๆ จะเป็นยอดโบสถ์แหลม
โบสถ์คาทอลิกประจำเมือง Zermatt
ใกล้ๆ กันเป็น Matterhorn Museum พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรมของชางเมืองZermatt การปีนพิชิตยอดเขาต่างๆ
ตรงหน้า Matterhorn Museum จะเป็นรูปปั้นแพะภูเขา อีกหนึ่งจุด Check-in ว่ามาถึงแล้ว


กินข้าว พักผ่อน 

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2558 

แผนวันนี้คือจะขึ้นยอดเขา Gornergrat เพื่อชม Matterhornหรือ ยอดเขาพีระมิดแห่งสวิตเซอร์แลนด์ 
ส่วนช่วงบ่ายจะออกเดินทางกลับไปยัง Zurich

แผนที่เที่ยว Zermatt แผนที่ Zermztt

แผนที่เที่ยว Mattelhorn แผนที่ Mattelhorn 

ตื่นแต่เช้า ให้มาถึงสถานีรถไฟตอน 6.00 น. แล้วแวะดู Tourism center เพื่อดู Real Time เพื่อดูว่ามีเมฆบัง Matterhorn หรือป่าว 


ท้องฟ้าสดใส หลังจากที่มีฝนตกลงมาเล็กน้อยเมื่อวานนี้ เข้าจุด Start เริ่มต้นไปชม Matterhorn กัน
ที่สถานี 
Zermatt GGB

เราจะนั่ง รถไฟ Gornergrat Bahn จากสถานี Zermatt GGB ไต่เขาชมเมืองมาเรื่อยๆ จากนั้น 
รถไฟจะแวะจอดที่ 4 สถานี คือ 
Rillelalp, 
Riffelberg, 
Rotenboden 
และ Gornergrat GGB



เที่ยวแรกที่ออกคือ 6.50 น.




แผนที่ Gornergrat Bahn
มาแต่เช้า คนยังไม่เยอะ แวะซื้อตั๋วกันก่อน สำหรับราคาขึ้น Gornergrat นั้น สามารถใช้ Swiss Pass เป็นส่วนลดได้เหลือ 37 CF ถ้าขึ้นหลัง 17.00 น. จะลดเหลือ 33 CF
ได้มาแล้ว ตั๋วพร้อมแผนที่ ตั๋วนี้ต้องเก็บไว้ให้ดีๆ เพราะเวลาเราแวะตามสถานีต่างๆ ต้องใช้แปะเข้าออกตลอด เพื่อความปลอดภัย จะได้รู้ว่าไม่มีใครติดเขาอยู่ไม่ได้กลับมาลง





ใกล้ถึงเวลารถออกก็แปะบัตรเข้าไปรอด้านในกัน

รถไฟ Gornergrat Bahn พาไต่เขาสูงไปชมวิวสวยๆ ของ Matterhorn กัน กรุณานั่งฝั่งขวา



แวะสถานี แรก Rillelalp, แล้วนั่งรถไฟไปต่อ 


แวะสถานีที่ 2  Riffelberg สถานีนี้ ถ้าใครมาเที่ยวช่วงเดือนสิงหาคมของที่นี่ ต้องแวะกันเลย เพราะจะสามารถเห็น Matterhorn สะท้อนน้ำในทะเลสาบ Rifflesee 

ตามแผนที่วางไว้วันคือนั่งรถไฟไปลงสถานี Rotenboden   เดินลงไปถ่ายรูปทะเลสาบ Riffelberg  ก็ได้ไม่ว่ากันเพราะสามารถเดินเชื่อมไปถึงกันได้



เมื่อเดินออกจากสถานี  Rotenboden ให้เดินลงเนินเขาทางขวาจะมองเห็นได้ไม่ยากครับ

เดินลงตามทางเดินไปจะมีสี่แยก ถ้าขากลับเดินออกทางขวาจะเป็นทาง Trekking ที่เลาะไปตามธารน้ำแข็งที่เดี๋ยวจะพาเที่ยว แต่ถ้าใครไม่มีประสบการณ์ หรือแรงไม่ดีพอขากลับแนะนำให้เลี้ยวซ้ายเดินกลับขึ้นทางสถานี Rotenboden ไป

หรือหากมีหิมะเส้นทางนี้อาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ






จากนั้นไม่นาน ก็มาถึงสถานี Gornergrat ปลายทางที่ความสูง 10,132 feet
จากนั้นก็เดินขึ้นเขาไปตามทาง หิมะตกลงมาหนาทีเดียว
สามารถขึ้นไปชมวิวบนหอคอย หรือ ระเบียงด้านขวาของรูปได้
เห็นหิมะหนาๆ อย่างนี้ แต่อากาศไม่หนาวนะจ้ะ แค่เย็นๆ เพราะแดดจัดมาก เพื่อนๆ อย่าลืมใส่แว่นตากันแดดด้วย เพราะแสงสะท้อนจากหิมะเข้าตาเราจ้ามาก ทำให้ตาพร่าได้
จากนั้นหันไปมองหา Matterhorn กันหน่อย ใช้เวลาซักนิด นางก็โผล่ออกมาให้เห็นกัน เพราะเมฆหมอกมากันเยอะจริง เสริมความรู้กันหน่อยนึง ยอดเขา Matterhorn นี้ เป็นหนึ่งในยอดเขาสูงแห่งเทือกเขา Alps มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,478 เมตร มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี





เมื่อชมวิวจุใจตอน 12.00  ก็เดินทางกลับลงมาพื้นล่างกลับไปโรงแรมกินข้าวเช้าที่โรงแรม 

เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เก็บกระเป๋าเดินทางต่อไปยังเมือง Zuric โดยจะแวะเปลี่ยนขบวนรถไฟที่เมือง Visp และ Bern แล้วลงที่สถานี Zuric




ถึง Zuric ตอนเวลาประมาณ บ่าย 3.00


เข้าพักที่พักที่เป็นอพาทเม้น ที่พัก Zuric  Check in เช็คตารางวันว่าง  
อาจจะเดินเล่นช้อปปิ้งซื้อกับข้าวหลังจากได้ห้องพัก ซื้อของสำหรับอาหาร 4 วัน


ช่วงเย็นของวันนี้ เราจะเดินเล่นกันที่ Zuric




แผนที่ Zuric Zuric Map






ตั้งต้นจากหน้าสนานีรถไฟ Zurich HB
นักท่องเที่ยวอย่างเยอะ ถนนเส้นนี้เป็นถนนช้อปปิ้งสำคัญของเมือง ร้านค้ากว่าร้อยร้านตลอดแนวถนน การมาช้อปปิ้งที่นี่ มีข้อแม้อย่างเดียวคือ ต้องเช็ควันหยุดราชการของทางสวิสให้ดีเพราะร้านค้าจะหยุดขายเกือบทั้งหมด
รถรางวิ่งผ่านตลอดเวลา เวลาเดินข้ามถนนต้องมองซ้ายมองขวากันดีๆ เลย
ร้านช้อปปิ้งมากมาย H&M นี่เยอะมาก เดินไปไหนมาไหนก็เจอ
Mango ที่นี่ Shop ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว สาวๆ ก็ระวังกระเป๋าฉีกกันนะ
ตรงไปเรื่อยๆ อากาศดี เย็นสบายเดินแล้วไม่มีเหนือย
จะเจอ Coop City ขวามือ ขายอาหารแบบหิ้วกลับไปทาน ราคาไม่แพง หน้าร้านมีไอศครีม Movenpick ให้ลิ้มลองกันด้วยแวะชิมไอศครีมอร่อยๆ รสชาตินมและช็อคโกแลตเข้มข้นกันที่ร้าน Movenpick ไอศครีมแห่งชาติ จนได้ฉายาว่า The Art of Swiss Ice cream ร้านนี้อยู่ตรงหน้า Coop City ฝั่งตรงข้ามกับทางขึ้นไป Lindenhofstrasse

ถึงแม้ว่าอากาศจะออกหนาวเย็น แต่เราก็บ่ยั่น จัดไอศครีมมากเติมพลังกันก่อนขึ้นเนิน ที่ร้าน Movenpick มีให้เลือกหลากหลายรส ทั้งแบบ โคน หรือ จะเป็น Scoop ใส่ถ้วยก็ได้
จัดไป 1 Scoop ขำๆ กับรสชาติแนะนำแห่งสวิสดินแดนของช็อคโกแลต ไอศครีมยี่ห้อ Movenpick นี้ ต้นตำรับก็อยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์นี่เอง แล้วขยายสาขาไปทั่วโลก (เมืองไทยก็มีให้ชิม) แต่มาที่นี่แล้วต้องจัดออริจินัลกันไป
รส Swiss Chocolate  เนื้อไอศครีมเหนียวนุ่ม สังเกตจะมีเกล็ดของช็อคโกแลตแบบจัดเต็ม อร่อยเข้มข้นทุกคำ ราคาค่าเสียหายอยู่ที่ 4.3 CF



--------------------------------------------------------------------------------------
ฝั่งตรงข้ามกับ Coop City จะมีซอยเล็กๆ ตรงร้านนาฬิกา Bucherer ให้เดินเลี้ยวขึ้นไปเพื่อชมวิวยังเนินเขาLindenhofstrasseไปชมวิวสวยๆ ของเมือง Zurich กันที่เนินเขา Lindenhoftrasse เนินเขานี้ สามารถเดินขึ้นมาง่ายๆ จากถนนหลักBahnhofstrasse เพียงแค่ 10 นาที

จากถนนใหญ่ Bahnhofstrasse เลี้ยวซ้ายเข้าซอยร้านนาฬิกา Bucherer แล้วตรงขึ้นไปเลย
สองข้างทางเป็นร้านขายของที่ระลึกเยอะแยะไปหมด
เดินเล่นเรื่อยๆ จะถึงทางขึ้นเนิน เดินขึ้นบันไดเลี้ยวขวาไปเลย
ขึ้นมาจะเจอกับลานด้านบน ทำเป็นสวนสาธารณะ ให้ประชาชนขึ้นมานั่งเล่นพักผ่อนกัน
เลาะเลียบริมขอบเนิน จะเป็นกำแพงหินเตี้ยๆ นั่งชมวิว ชาวสวิส ก็นิยมมานั่งปิคนิคทานข้าวกันที่นี่
ตัวเมืองซูริค ริมฝั่ง แม่น้ำลิมมัต (Limmat River) สวยบาดตาบาดใจ เห็นแล้วหายเหนื่อยกับที่เดินขึ้นเนินกันมาทีเดียว
ชมวิวกันอิ่มหนำแล้ว ก็ไปดูเค้าเล่นหมากรุกยักษ์กัน มีหลายกระดานกันทีเดียวบนลานกว้าง Lindenhofstrasse ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็จะเป็นบรรดาสว.ทั้งหลาย อิอิ
จากลานด้านบนให้เดินลงเนินอีกด้านนึง จะทะลุมายังหอนาฬิกายักษ์


รีวิว Lindenhofstrasse
ลงมาจาก Lindenhofstrasse จะผ่านมาทางหอนาฬิกาโบราณ โดยหน้าปัดเจ้านาฬิกายักษ์นี้ มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 8.5 เมตร
เดินทะลุทะลวงตามแผนที่ไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที ก็จะมาโผล่ที่แยก Parade Platz แยกนี้จะเป็นเหมือนจุดรวมสถานีรถรางในเมืองอีกจุดหนึ่ง แล้วก็มีร้านขนมอร่อยอย่างร้าน Sprungli ตั้งอยู่
รีวิวร้าน Sprungli สาขาแรกในสวิส
ร้าน Sprungli สาขาแรกในสวิส ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมของ Parade Platz นอกจากจะเป็นร้านขายช็อคโกแลตแล้วยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ช็อคโกแลตที่มีชื่อเสียงอย่าง Lindt ซึ่งจดทะเบียนรวมกันในนามของ Lindt & Sprungli (แผนที่ร้าน Sprungli

ตึกหัวมุมใหญ่ตรงจตุรัส Parade Platz หาไม่ยาก
ร้าน Sprungli นี้ ก่อตั้งโดย นาย David Sprungli ในปี ค.ศ. 1859 มีหลากหลายสาขาในสวิส นอกจากที่สาขาใหญ่ตรงParade Platz นี้แล้ว ก็สามารถแวะซื้อกันได้ตามร้านย่อยในสถานีรถไฟใหญ่ทั่วประเทศ  เรียกได้ว่ามีให้ชิมกันตลอดการเดินทางเลย
ไปชมด้านในร้านกัน ขนมหลักที่มีชื่อเสียงของที่นี่ เห็นจะหนีไม่พ้น เจ้า Luxemburgerli
ขนมหวานหน้าตาคล้ายๆ กับ แฮมเบอร์เกอร์อันจิ็ว ด้านบนล่างกรอบๆ ส่วนไส้ในขนมชนิดนี้ คิดค้นโดย เด็กฝึกงานชาว Luxemburg แล้วก็เกิดโด่งดังขึ้นมาด้วยรสชาติที่อร่อยจนเค้าตั้งชื่อขนมเพื่อเกียรติว่า Luxemburgerli
หลากหลายรสชาติให้เลือกไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแลต วนิลลา คาปูชิโน่ เบอรรี่ และอื่นๆ
ซื้อใส่กล่องกลับไปทานกันได้ มีหลากหลายไซส์ให้เลือก
จัดไป 1 กล่องเล็ก มี 16 ชิ้น เลือกรสชาติได้ตามใจชอบ สนนราคาอยู่ที่ 17.3 CF
จากนั้น มาเดินดูขนมอื่นๆ กันต่อ ที่มีชื่อเสียงรองๆ ลงมาจะเป็นช็อคโกแลตสด มีให้เลือกหลากหลายรสชาติอีกเช่นเคย
เยอะจริงไรจริง งานนี้มีอ้วนกันแน่ๆ 555
ส่วนของโซนเบเกอรี่ก็ดูน่าอร่อยไม่แพ้กัน แนะนำกันเลยสำหรับร้าน Sprungli นี้ แวะเวียนกันมาชิมขนมอร่อยๆ จิบคู่กับโกโก้ร้อนๆ
ถัดจากร้านขนมก็มาแวะร้านมีดพับสวิส Victorinox กัน ร้านนี้ ขายแทบทุกแบบ ในราคาไม่แพง บางรุ่นถูกกว่าร้านอื่น
รีวิวร้านมีดพับ Victorinox
ไปกันต่อที่ Fraumunster ด้านในนั้นมีกระจกสี ผลงานอันโด่งดังของ Marc Chagall เปิดให้เข้าชม ทุกวัน 10.00 - 16.00 น. ค่าเข้าชมฟรี
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต (ด้านในห้ามถ่ายรูป)
จากโบสถ์ Fraumunster จะเจอรูปปั้นคนขี่ม้า
กับวิวสวยๆ ของ Grossmunster ริมแม่น้ำ Limmat แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบซูริค
(วิวเมือง Zurich สวยๆ ริมแม่น้ำ Limmat)
เดินเลาะเลียบริมแม่น้ำมาเรื่อยๆ แล้วข้ามมาบนกลางสะพาน Quaibrucke Bridge ก็จะได้ภาพวิวสวยๆ ริมแม่น้ำ Limmat ที่รวมเอาวิวของทั้งหอนาฬิกายักษ์ - Fraumunster - Grossmunster

เดินกันมาเรื่อยๆ ก็จะถึงมหาวิหาร Grossmunster วิหารใหญ่โดดเด่นด้วยหอระฆังคู่ เปิดให้เข้าชม 10.00 - 18.00 น. ส่วนช่วงหน้าหนาวตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. - 28 ก.พ. ปิดเร็วขึ้น คือ 17.00 น.ตัวโบสถ์ชมฟรี ส่วนหอคอยชมเมืองเสียค่าขึ้นชม ผู้ใหญ่คนละ 4 CF เด็กและผู้สูงอายุ 2 CF
หลังจากชมวิหารกันแล้วก็มาเดินช้อปปิ้งดูสินค้ากัน หรือไม่ก็หาของอร่อยรองท้องกันได้ที่ถนน ก่อนกลับโรงแรม
รีวิว Oberdofstrasse & Niederdorfstrasse


ถนน Oberdorfstrasse และ Niederdorfstrasse

พามาถนนช้อปปิ้งและกินดื่มปิดท้ายวันแรกของทริปกันที่ถนน Oberdorfstrasse และ Niederdorfstrasse จากGrossmunster ก็เดินเลี้ยวไปด้านหลังตาม แผนที่ เลย

เริ่มจากถนน Oberdorfstrasse ถนนสายนี้ เน้นไปทางช้อปเสียมากกว่าจะมีร้านกินดื่ม
สองข้างทางมีร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าลดราคา
รองเท้าหลากหลายแบรนด์ ราคาไม่แพง ลดตลอดๆ มีลายให้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น N Balance Vans Onitsuka Adidas Nike Crocs บลาๆๆ
Onitsuka Tiger 69.9 CF หรือประมาณ 2,500 บาทเอง ถูกมาก!!
ส่วนใครที่ถามหามีดพับอีกยีห้อดังคือ Wenger กัน แถวนี้ก็มีชอปให้เลือกหลากหลายรุ่นเลยทีเดียว
หุ่นของมีดยี่ห้อนี้จะออกหนาๆ หน่อย แต่ก็มีประโยชน์ใช้สอบไม่แพ้กับของ Victorinox เลย ราคาก็ไม่แรง รุ่นอุปกรณ์มาตรฐาน ราคาไทยอยู่ที่พันต้นๆเท่านั้น
ส่วนสีสันก็มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน
จากถนน Oberdofstrasse เดินผ่านน้ำพุสวยๆ นี่ขึ้นไปทางเหนือ
จะเข้าสู่ถนน Niederdorfstrasse ถนนเส้นนี้เน้นหนักไปที่ร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านนั่งจิบชายามบ่าย
 Restaurant 1001 ร้านนี้ดังเรื่อง Kebab  มีให้เลือกหลากหลายไส้ ชิ้นใหญ่มากทานได้ 2 คนเลย

ติดๆ กันนั้นเป็นร้านขายเบอร์เกอร์ Louis ใครไม่ถนัดเคบับจะจัดเบอร์เกอร์ไปแทนก็ได้
สำหรับใครที่อยากทานอาหารเส้น ก็แนะนำที่ Spaghetti Factory
นอกนั้นก็มีร้านอาหารอื่นๆ เยอะแยะมากมาย เลือกทานกันได้สบายๆ เปิดกันถึงดึกดื่น







วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2558 


วันนี้  ช่วงเช้าจะไปเที่ยว เมืองซัฟเฟาเซ่น 

(Schaffausen) 

ส่วนช่วงบ่ายเป็นเมืองน่ารักๆ อย่าง สไตน์ ฮัม ไรน์ (Stein am Rhain)


ออกเดินทางกันเลย จาก Zurich HB ไปยัง Schaffausen ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

นั่งรถไฟชมวิวไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 นาทีก่อนถึงเมือง Schaffausen มองไปทางกระจกฝั่งขวาให้ดี จะเห็น น้ำตกไรน์ (Rhien Fall) น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป 
ถึงแล้ว สถานีรถไฟ Schaffausen





เดินชมเมืองตามแผนที่กันเลย ช่วงแรกนี้เราจะไปเยี่ยมชมบ้านอัศวินประจำเมืองทั้งสามกันก่อน มีใครบ้างตามไปชมกัน
เมืองนี้ มีน้ำพุประจำเมืองอยุ่หลายจุดเช่นกัน น้ำใสกิ๊ง ใครจะเอาขวดมารองดื่มก็ได้ไม่ว่ากัน
จากน้ำพุนี้ ตรงไปซ้ายมือ จะเห็นบ้านสีแดงๆ โดดเด่นอยู่

บ้านอัศวินนี้ มีชื่อว่า Zum Ochen สร้างตั้งแต่สมัยยุคกลาง สังเกตได้ว่า บ้านแทบทุกหลังไม่ว่าจะเป็นบ้านฮัศวิน หรือ บ้านธรรมดาจะมีระเบียงยื่นออกมาจากชั้น 2

เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนตามผนังจะเป็นภาพเขียนเฟรสโก ซึ่งเป็นภาพเขียนสีสันสดใสสวยงามที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชมกัน
จากบ้านอัศวิน Zum Ochen เดินไปอีกนิดจะเป็นซุ้มประตูเมืองเก่า Schwabentor ที่ด้านบนทำเป็นหอนาฬิกาประจำเมืองซัฟเฟาเซ่น
จากนั้นเดินย้อนกลับมายังลานน้ำพุใหญ่ใจกลางเมือง บริเวณนี้ ช่วงเที่ยง - เย็นๆ เค้าจะจัดเป็นลานขายของ ร้านอาหารมาบริการกับนักท่องเที่ยว
จากนั้นเดินเลี้ยวขวาเข้าไปนิดนึง จากลานน้ำพุ จะพบกับอีกหนึ่งบ้านอัศวินของเมืองนี้
บ้านอัศวินนี้ มีชื่อว่า Zum Steinbock แม้สีสันจะดูไม่โดดเด่น แดงจัดเหมือนที่แรกแต่ก็มีลวดลายสวยงามไม่แพ้กัน ด้านล่างของบ้านอัศวินทุกแห่งนี่ก็จะทำเป็นร้านค้า หรือ ไม่ก็ร้านอาหาร ใช้ประโยชน์กันให้คุ้มค่าหน่อย อิอิ
ดูลายกันใกล้ๆ หน่อย บ้านนี้ ไม่มีภาพเขียนสีเฟรสโก แต่ทำเป็นลายปูนปั้นนูนสูง แสดงเรื่องราว ศิลปะสมัยกลาง
จากนั้นไปลุยกันต่อกับบ้านอัศวินแห่งที่สาม เดินผ่านลานน้ำพุเดิมกันก่อน
ตรงไปตามถนนเส้นนี้ เช้าๆ คนยังไม่ค่อยมาเลยดูเงียบเหงานิดหน่อย
ตรงไปนิดหน่อย จะเห็นบ้านอัศวินขวมือ บ้านอัศวินหลังนี้ มีชื่อว่า Zum Ritter ดูหลังใหญ่อลังการที่สุดในบรรดาสามแห่ง เจ้าของก็คือท่านอัศวิน Hans Von Waldkirch
รอบผนังบ้าน มีภาพเขียนสีเฟรสโกแบบจัดเต็ม 
ดูลายกันชัดๆ แอบนู้ดกันบ้างเล็กน้อย
มาดูบ้านอัศวิน Zum Ritter นี่คุ้มสุดแล้ว เพราะเป็นบ้านหลังใหญ่หัวมุม มีลายสวยๆ รอบตึกให้ชมกันเลย
อัศวินผู้โด่งดังแห่งเมืองซัฟเฟาเซ่น ก็จะมีการจัดงานนิทรรศการให้ชมกัน ชื่องานว่า Ritter Turnier ประมาณกลางปีของทุกปีที่ Museum Schaffausen

จากบ้านอัศวินทั้งสาม ต่อมาเราจะไปชมวิวกันต่อที่ ป้อมมูนอท (Munot) เดินตามแผนที่ ผ่านโบสถ์ใจกลางเมือง

ผ่านน้ำพุอีกแห่งแล้ว
น้ำพุของเมือง Schaffausen นี้ก็สวยไม่แพ้ที่เมือง Bern เหมือนกัน บางแห่งดูใหม่กว่าด้วยซ้ำ
เดินทะลุข้ามถนนใหญ่ไปฝั่งตรงข้าม
จากนั้นเดินขึ้นบันไดซ้ายมือไปยังป้อมมูนอท
ป้อมมูนอท (Munot)


ป้อมมูนอท (Munot)

ป้อมมูนอท (Munot) ป้อมปราการบนเนินริมแม่น้ำไรน์ สร้างในสมัยกลางในศตวรรษที่ 15 ระหว่าง ค.ศ. 1564 -1589 เพื่อป้องกันการรุกรานจากเยอรมัน

ขึ้นบันไดกันไป 2 ข้างทางเป็นไร่องุ่น

มองลงมาเห็นยังตัวเมือง Schaffausen
เดินขึ้นบันไดมากันประมาณ 5 นาที (แอบเหนื่อยเล็กน้อยตามวัย) ก็มาถึงประตูทางเข้าป้อม วิวสวยๆ รออยู่
ด้านในป้อมเป็นโถงใหญ่ ใช้แสงสว่างจากการเจาะเพดานให้แสงลอดเข้ามา ดูลึกลับ เหมือนในหนังสงครามอัศวินที่เราดูกัน
ขึ้นบันไดเวียนไปยังจุดชมวิวด้านบนป้อม ระหว่างนั้นแวะถ่ายรูปจากหน้าต่างเล็กๆ ที่เจาะออกมา
ลานชมวิวด้านบน มีเก้าอี้นั่งพัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ห้องน้ำ
ภาพถ่ายมุมบังคับ ตัวเมือง Schaffausen ริมแม่น้ำไรน์
มุมฝั่งตัวเมืองที่เราเดินผ่านกันมา
ลงจากด้านบน สามารถเดินทะลุบันไดออกมาด้านล่างกันต่อได้ เค้าเลี้ยงกวางและทำเป็นสวนสาธารณะ พักผ่อนหย่อนใจ


ไปเที่ยวน้ำตกไรน์กัน เดินกลับไปที่สถานีรถไฟ 


หลังจากชมวิวสวยๆ ของป้อมมูนอท กับ แม่น้ำไรน์กันไปแล้ว จากนั้น เดินกลับมายังหน้าสถานีรถไฟเดิม เพื่อนั่งรถบัสซึ่งมีป้ายอยู่ด้านหน้าสถานีไปยัง น้ำตกไรน์ (Rhien Fall)
ง่ายมากอีกแล้ว ไปด้วยสาย 1 กลับด้วยสาย 1 ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีถึง
ตารางเวลารถออกมากันทุก 10 นาที



ขาลงลงป้ายที่ 7 Nauhauzen Zentrum ตามแผนที่ด้านบน ป้ายจะอยู่หน้าร้าน Kiosk
จากนั้นเดินเลี้ยวซ้ายลงเนิน เดินลงตามป้ายไปเลยจ้า
เสียงน้ำไหลแรงโครมครามมาแต่ไกล แล้วเราก็มาถึงน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกันแล้ว
น้ำตกไรน์ (Rhien Falls)



น้ำตกไรน์ (Rhein Fall)



ช่วงสายของวัน ไปกันต่อที่ น้ำตกไรน์ (Rhein Fall) น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยความสูงของน้ำตก 23 เมตร และกว้างกว่า 150 เมตร น้ำตกไรน์นี้ เป็นน้ำตกโบราณ มีอายุเก่าแก่มากประมาณ 14,000 - 17,000 ปี  


เริ่มเดินจากด้านบนน้ำตก ลงมาด้านล่าง ฝั่งตรงข้ามเป็นตัว ปราสาทเวิร์ท (Schloss Worth) ซึ่งเป็นปราสาทของทางเยอรมัน สามารถไปเยี่ยมชมได้โดยนั่งเรือสายสีแดง ข้ามฝั่งไป
ส่วนที่เห็นโผล่มา 2 ก้อนนั้น คือ เกาะกลางน้ำ ที่ถูกแม่น้ำไรน์กัดเซาะผ่ากลางแบ่งเป็นสองท่อน
ด้านบนเกาะฝั่งขวา มีบันไดกับธงชาติสวิสปักไว้ สำหรับขึ้นไปชมวิวเสียวๆได้
อุปสรรคมีไว้ฟันฝ่า 555 ดูน่าหวาดเสียวเล็กน้อย แต่ปลอดภัยจ้า ใครจะไปก็นั่งเรือสายสีเหลืองเข้าไปกัน
แต่ถ้าใครชอบแบบชิลล์ไม่เน้นเสียวก็นั่งเรือสีชมพูชมรอบๆ ก็พอ
จากนั้นก็มุมบังคับ น้ำตกไรน์ด้านกว้าง กับตัวปราสาทด้านขวา วันนี้แดดน้อยเลยดูมืดครึ้มหน่อย ใครมาตอนแดดดีๆ จะเห็นน้ำเป็นสีเขียวฟ้าแบบชัดๆ สวยมากมาย
นักท่องเที่ยวมากันเยอะทีเดียวจากทั่วทุกมุมโลก ส่วนตรงตึกสูงๆ นั้นเป็นร้านอาหาร และจุดลงเรือ ซื้อตั๋วขึ้นเรือที่นี่ได้เลย
ค่าบริการเรือสำหรับผู้ใหญ่ สีเหลืองไปเกาะกลาง 8 CF ใช้เวลา 20 นาที ,สีแดงไปปราสาท 2 CF ใช้เวลา 10 นาที, สีฟ้า ชมวิวกับข้ามฝั่งด้วย 10 CF ใช้เวลา 30 นาที ,สีชมพู ชมวิวอย่างเดียว 8 CF ใช้เวลา 30 นาที, ตั๋วรวมไปเกาะกลาง ข้ามฝั่ง ชมวิว 13 CF ใช้เวลา 45 นาที ส่วนราคาเด็ก (6-16 ปี) ราคาครึ่งนึงของผู้ใหญ่
นั่งเรือชมวิวกันแล้ว ที่นี่เค้าก็มีอาหารบริการกันหิว ราคาไม่แพง สนใจก็จัดกันได้
ส่วนขากลับใครไม่อยากเดินก็มีรถไฟขึ้นไปส่งที่ป้ายรถเมล์ขากลับ ค่าบริการ 5 CF
ออกมายังถนนใหญ่ตรง BS Bank จะเห็นป้ายรถเมล์อยู่ข้างๆ
ป้ายขากลับ Neuhausen Zentrum เห็นหอนาฬิกาอยู่ไกลๆ นั่งสาย 1 กลับสถานีรถไฟ Schaffausen กันเหมือนเดิม




บ่าย เดินทางไปเที่ยวเมือง  สไตน์ ฮัม ไรน์  (Stein am Rhien) 



ช่วงบ่ายไปกันต่อที่เมือง สไตน์ ฮัม ไรน์  (Stein am Rhien) ใช้เวลาประมาณ 24 นาทีจากเมืองซัฟเฟาเซ่นเท่านั้น ใกล้มากๆ
รถไฟที่แล่นช่วงนี้เป็นรถไฟ Thurbo ตู้ใหม่เอี่ยมสีสันสดใส
ด้านในน่านั่งมากมาย ใหม่กิ๊ก สะอาดมาก
ถึงแล้วจ้า ออกจากสถานีก็เดินตรงกันตามถนนใหญ่เลย










เดินตามทาง เจอวงเวียนเลี้ยวขวา
เดินลงเนินเลี้ยวซ้าย
ก็จะเจอสะพานข้ามเข้าสู่ตัวเมือง แวะถ่ายมุมสวยๆ นี่ก่อนจ้า
ข้ามสะพานไป ชมเมืองไป 2 ฝั่งของแม่น้ำไรน์
บรรยากาศดีมากๆ เมืองชนบทริมแม่น้ำไรน์
หลังจากแวะชมวิวสวยๆ บนสะพานกันซักพักแล้ว เราเข้าไปชมเมืองสไตน์ ฮัม ไรน์กัน รับรองว่าต้องร้อง ว้าววววว..






หลังจากที่เดินข้ามสะพานมายังฝั่งตัวเมืองกันแล้ว ก็ต้องมาหยุดถ่ายรูปกันรัวๆ ที่อาคารยุคกลางที่เพ้นท์สีสวยๆ ของภาพวาดเฟรสโก ใจกลางจัตุรัส

มุมมหาชน กับตึกแถวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่เมือง Stein am Rhein
ระเบียงแบบยื่นออกมาเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ พร้อมภาพวาดเฟรสโกสวยๆ ที่ใครมาก็ต้องตกตะลึงกันในความงาม โดยภาพวาดเหล่านี้ ก็เหมือนกันที่เมืองอื่นๆ ทั่วสวิสที่เราได้ไปเที่ยวกันมา แต่จะแตกต่างกันที่
เมืองสไตน์ อัม ไรน์ แห่งนี้ เค้าจะอนุรักษ์ไว้อย่างดี สภาพสมบูรณ์เกือบ 100% เพื่อให้ชนรุ่นหลังและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้มาเยี่ยมชมกัน
ภาพวาดสมัยยุคกลาง จุดดึงดูดนักท่องเที่ยว บรรดาอาคารเหล่านี้ เค้าจะเปิดเป็นลักษณะ Shop house เกือบทุกแห่ง คือด้านล่างจะทำเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ส่วนด้านบนก็เป็นที่พักอาศัยของเจ้าของร้าน
ใช้เวลากับจุดนี้กันซักพักใหญ่ๆ กันเลยทีเดียว เพื่อชื่นชมบรรยากาศสวยๆ ไฮไลท์หลักของที่นี่
ตั้งแต่สายๆ เป็นต้นไป ร้านอาหารจะเริ่มเปิดให้บริการกันเต็มหน้าจตุรัสเลยทีเดียว
อาคารใจกลางรูปคืออาคาร Rathaus หรือ ศาลาว่าการเมือง Stein am Rhein ส่วนจัตุรัสนี้ ก็จะมีน้ำพุโบราณให้ถ่ายรูปกันอีกเช่นเคย
จากนั้นก็เดินเที่ยวกันต่อไปตามถนนใหญ่ Rathausplatz ที่จะมีอาคารเก่าแก่ของย่านเมืองเก่าให้เราแวะชมกันตลอดสาย
เดินเล่นกันชิลล์ๆ แวะชมร้านขายของที่ระลึกข้างทางกันบ้าง ไรบ้าง

Museum Lindwurm พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง บอกเล่าเรื่องราวของชาวเมืองย้อนไปเมื่อปี 1850
จากพิพิธภัณฑ์ตรงไปเรื่อยๆ ขวามือร่มขาวๆ จะเป็นร้านเครปชื่อดังของที่นี่ 
สุดถนน Rathausplatz ที่ซุ้มประตูรถลอด นอกจากตัวเมืองเก่า Stein am Rhein แล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีก เช่น ทะเลสาบ Konstanz






รีวิวร้านเครป La p tite creperie Schmuki Junod






กลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อเดินทางกลับ Zuric 
อาหารเย็น กินที่อพาทเม้น


















วันนี้จะเดินทางไปเที่ยวนอกเมืองใกล้ๆ กันบ้างที่ St.Gallen และ Appenzell แล้วจะกลับมา Zuric 





มาเช็คตารางรถไฟกันก่อน รถไฟออกจาก Zurich HB ไปยังเมือง St.Gallen
มีอยู่ตลอดทุก 10 นาที เรียกได้ว่าสะดวกมากๆ
จากนั้นก็มาดูเทียบกับตารางรถไฟขาออก ป้ายสีเหลือง รอบ 7.09 รอที่ Platform 10 วิธีเลือกรถไฟ คือ เลือกตามความเร็วรถที่เร็วที่สุดก่อน ไม่แวะเปลี่ยนสถานี หรือ เปลี่ยนน้อยที่สุด 
ความเร็วรถไฟสวิส IC,ICN > IR > RE > R, S Bahn


มารอกันที่ Platform ส่วนใหญ่รถไฟจะมาจอดรอก่อนรถออกไม่เกิน 10 นาที ประมาณว่ามาปุ๊บขึ้นปั็บ ออกปุ๊บ


หน้าตาคล้ายๆ รถไฟด่วนของญี่ปุ่น ความเร็วอาจจะไม่เท่าชินคันเซ็น แต่ก็เร็วทำเวลาได้ดีไม่น่าเชื่อเหมือนกัน


ด้านในกว้างมากเหมือนนั่งอยู่ในเครื่องบิน ที่นั่งว่างเยอะมาก เลือกนั่งตามสบาย ระหว่างที่นั่งไปจะมีพนักงานมาตรวจตั๋ว เราก็โชว์บัตรเบ่ง Swiss Pass ผ่านตลอด


ประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงยังสถานี St.Gallen เดินลงบันได้ลอดใต้รางไปโผล่ที่ด้านหน้าสถานี


จุดนัดพบ ออกไปจะเป็นสถานีรถราง










พักผ่อนนั่งเล่นที่ลานสีแดง 
รีวิว Stadtlounge (Red Carpet)


เดินเที่ยวยังจุดแรกของเมืองก่อนที่ St.Laurenzenkirche โบสถ์ใหญ่ของเมือง St.Gallen ซึ่งตั้งอยู่ก่อนทางเข้าไปยังมหาวิหาร Stiftskirche St. Gallen Cathedral และ Abbey Library

เดินตาม แผนที่ จะผ่านรูปปั้นตรงแยกใหญ่
เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม
เดินเข้าสู่ถนน Multergasse
เดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆ เลี้ยวขวาซอยย่อย จะเห็นโบสถ์ St.Laurenzenkirche
แวะชมกันซัก 15 นาที เข้าชมฟรี  วันจันทร์และเสาร์ เปิด 9.30 - 16.00 น. ส่วนวันอังคาร - ศุกร์ 9.30 - 18.00 น.ทางเข้าโบสถ์ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ บอกเล่าความเป็นมาตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบัน
โบสถ์นี้ สร้างมาตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 15 เลยมีเศษซากวัตถุโบราณของโบสถ์มาแสดงให้เราชมกัน
จากนั้นมีการบูรณะซ่อมแซมในปี 1850 -1854 ในรูปแบบของ Neo-Gothic หอคอยด้านบนเปิดให้ขึ้นไปชมวิวได้ในช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น.


เดินเที่ยวกันต่อเลย 










รีวิว Stiftskirche St.Gallen Cathedral ด้านในสวยงามน่าชมมาก ห้ามพลาด

จากโบสถ์ St.Laurenzenkirche  เดินมาเพียงอีกไม่กี่ก้าวก็มาถึงยังไฮไลท์ของเมือง St.Gallen นั่นก็คือ มหาวิหารซังกัลเลน Stiftskirche St.Gallen Cathedral และห้องสมุด Abbey Library

มหาวิหารซังกัลเลน ภายนอกโดดเด่นด้วยหอคอยคู่ และตัวอาคารขนาดใหญ่ด้านหลัง
มหาวิหารแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1755 - 1766 โดย นักบวชนามว่า Otmar เพื่ออุทิศให้กับนักบวชชาวไอริส นามว่านักบุญ Gallus การออกแบบวิหารแห่งนี้ ออกแบบในสไตล์บาร็อค
ชื่นชมความงามด้านนอกกันไปแล้ว จากนั้นเราก็เดินเข้าประตูด้านข้างเพื่อเข้าไปชมความอลังการด้านในกัน
ด้วยความสวยงามอลังการ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาทุกคนถึงกับร้อง ว้าว!! ยิ่งใหญ่ตระการตา ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้งในชีวิต
อย่าลืมเงยหน้ามองภาพเขียนสวยๆ บนเพดานกัน ภาพต่างๆที่เห็นนี้ บอกเล่าเรื่องราวตามคัมภีร์ โดยใช้ดินสีเขียวและสีเหลืองปั้นนูนตกแต่งลวดลายประกอบ


ชมความงามกันไปเรื่อยๆ เดินกันจนลืมเวลาไปเลย
จุดนี้เป็นที่ทำพิธีด้านใน ไม่อนุญาตให้เข้าไปชมใกล้ๆ ต้องซูมเข้าไปอย่างเดียวจ้า

จบจากมหาวิหารแล้ว เดินออกทางประตูหลัง เพื่อไปยังห้องสมุด Abbey Library
ทางเข้าออกแนวลึกลับนิดนึง เป็นประตูด้านข้างเล็กๆ (ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย)
เดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ที่ร้านขายของที่ระลึกเพื่อซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อน
ค่าเข้าชม 12 CF เปิดให้เข้าชมทุกวัน 10.00 - 17.00 น. ส่วนวันอาทิตย์เปิดถึง 18.00 น.สัมภาระกระเป๋าทุกอย่างต้องฝากไว้ในล็อคเกอร์ที่เค้าจัดให้ ห้ามนำเข้าไปด้วย
ด้านในห้ามถ่ายรูป (รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต) ห้องสมุด Abbey Library แห่งนี้ เป็นห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ สร้างพร้อมกับมหาวิหารซังกัลเลน เก็บรวบรวมหนังสือเก่าแก่หายากจากหลากหลายประเทศในยุโรป กว่า 150,000 เล่ม และอีกกว่า 2,000 ชิ้นที่เป็นงานเขียนด้วยภาษา Irish, Ottonian และ Carrolingian ที่เค้าจะเปิดใหเราดูด้วยในตู้โชว์กระจก เรียกได้ว่า เดินดูจนเพลินกันไปเลย
การตกแต่งของห้องสมุดแห่งนี้ ตกแต่งสไตล์บาร็อคด้วยปูนปั้นและภาพเขียนเฟรสโก้อันสวยงาม เห็นได้จากเพดานด้านบน ด้วยความสวยงามอลังการติดอันดับโลกของห้องสมุดแห่งนี้ องค์การยูเนสโก้จึงประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ.1983


ห้องสมุดเก็บหนังสือโบราณที่ว่ากันว่าเป็นห้องสมุดที่สวยติดอันดับโลก







เดินเล่นชมเมืองเก่า St.Gallen
รีวิวเมืองเก่า Spisergasse, Marktgasse


ช่วงสาย เราเดินทางไป AppenZell


หลังจากเที่ยวเมือง St.Gallen ในช่วงเช้าแล้ว ช่วงสายออกเดินทางไปยังเมืองหมู่บ้านเนินเขา Appenzell
รถไฟออกทุก 30 นาที


เดินไปขึ้นรถไฟตามแผนที่เลย นั่งขบวน Appenzeller Bahn สีแดงสดไปกัน


ใช้เวลาประมาณ 50 นาที พอใกล้ๆ ถึง จะเริ่มเห็นวิวบ้านกลางเนินสวยๆ กัน


สถานีรถไฟ Appenzell








ออกจากสถานีรถไฟ เดินไปตามถนนใหญ่เข้าเมืองไปประมาณ 10 นาที ตามถนน Hauptgasse
ใครรู้บ้างต้นไม้นี้ชื่ออะไรเอ่ย ต้นหงิกๆ ใหญ่ๆ เห็นบ่อยเหมือนกันกับทริปสวิส

หลังจากเดินเล่นชมวิวเมืองบ้านเนินเขากันแล้ว ก็มาแวะพักขาทานขนมอร่อยๆ จากร้านเบเกอรี่ร้านดังประจำเมืองอัพเพนเซลล์กันที่ ร้านขนม Drei Koenige-Hauptgasse (แผนที่)

ร้านนี้อยู่ริมถนน หาไม่ยาก คนเดินเข้าร้านกันตลอดๆ
มีขนมปัง ขนมเค้ก และเบเกอรี่มากมายให้เลือกชิมกัน
ว่าแล้วก็เล็งหาเจ้า ขนมเค้กวนิลลา Bienenstitch น่าน.. ยังเหลืออีก 3 ชิ้น นึกว่าจะอดซะแล้ว
ขนมเค้กวนิลลา Bienenstitch เป็นขนมขึ้นชื่อที่มีเฉพาะที่ร้านนี้เท่านั้น สนนราคาความอร่อยอยู่ที่ชิ้นละ 3 CF
ผิวด้านบนเป็นถั่วอัลมอนด์บด เคลือบน้ำตาลกรอบๆ ไม่หวานมาก
ส่วนเนื้อเค้ก ตัวแป้งลักษณะออกไปทางขนมปัง ส่วนไส้ในเป็นวนิลลาครีมเย็นๆ คล้ายๆ ชูครีม รสชาติหอมหวาน อร่อยกลมกล่อม หมดเกลี้ยงไม่ถึง 5 นาที อิอิ แนะนำว่าเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวเมืองนี้ แวะมาชิมขนมเค้ก Bienenstitch กันให้ได้เน้อ
แวะหม่ำขนม (อีกแล้ว) กับ ขนมเค้กวนิลา Bienenstitch ชื่อดัง
รีวิวร้านขนม Drei Koenige - Hauptgasse












แวะถ่ายรูปกับมุมมหาชน บ้านจั่วโค้งสีแดง บ้านสมัยก่อนของชาว Appenzell ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ตอนนี้ทำเป็น Shophouse คือ ด้านล่างทำเป็นร้านขายของ










ไปกันต่อที่ศาลาว่าการเมืองสีแดง ตรงกำแพงด้านหน้าจะมีรูปวาดสวยๆอยู่ ส่วนตึกด้านขวาติดกันนั้น คือ Appenzell Museum สามารถใช้ Swiss Pass ผ่านเข้าไปชมกันได้ฟรีๆ โดยด้านล่างของพิพิธภัณฑ์เป็น Tourist Information ใครอยากขอข้อมูลอะไรก็ได้ไม่ว่ากัน


รีวิว Appenzell Museum














ออกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว แวะซื้อ ชีส Appenzeller กับ ขนม Biber ของดีเมืองอัพเพนเซลมาชิมกัน
ร้านขาย Appenzell Cheese - Biber - Beer
มีชีสหลากหลายแบบจากทั่วประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้ชิม ให้ช้อปกัน
รวมไปถึง ชีสชื่อดังของเมืองนี้ คือ Appenzell Cheese หนึ่งในชีสชื่อดังของสวิส ลักษณะของชีสนี้ เค้าจะทำเป็นก้อนกลมใหญ่ แล้วหั่นขายตามน้ำหนักที่ต้องการ ว่ากันว่าส่วนผสมของชีสนี้ เป็นความลับสุดยอดของชาวเมืองที่ไม่ยอมเปิดเผยกับใคร
ซื้อมาชิมกันสดๆ (ถ้าใครไม่สะดวก ที่ Tops บ้านเรามีขายนะจ๊ะ แต่ราคาก็แพงหน่อย) จัดไป 100 กรัม 2.5 CF ส่วนรสชาติ เนื้อชีสออกเหนียว หนุ่บ มีกลิ่นฉุนของน้ำสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมของชีสชนิดนี้ซึ่งจะมีกลิ่นแรงมากตรงบริเวณขอบๆ (ฝั่งซ้ายของรูป) บางคนที่ไม่ชอบกลิ่นรุ่นแรงแนะนำให้ทานช่วงกลางๆ (ฝั่งขวา) เนื้อจะอ่อนนุ่มและกลิ่นเบากว่า
จากชีส มากันต่อที่ขนม Appenzeller Biber ขนมของเมืองนี้ (แต่ก็มีขายให้เห็นบางตามเมืองใหญ่อื่นๆ)
มีหลากหลายไซส์ให้เลือกซื้อชิมกัน เดี๋ยวจะมาไม่ถึง ชิ้นนี้ ราคาอยู่ที่ 1.5 CF ดูลักษณะเนื้อขนม ด้านนอกเป็นแป้งคล้ายๆ แป้งของขนมไหว้พระจันทร์ ส่วนด้านในเป็นไส้ถั่วอัลมอนด์บดผสมกับน้ำผึ้ง ออกหวานเล็กน้อย กินรองท้องกันได้ดีทีเดียว














ยังไม่หมดกับเรื่องของกิน ไปกันต่อกับโรงเบียร์ Appenzeller ชมวิธีการผลิตเบียร์ แล้วก็จิบเบียร์รสชาติเยี่ยม ของดีของเมือง Appenzell เท่านั้น พลาดแล้วถือว่ามาไม่ถึงกันเลย 
รีวิว Appenzeller Bier  (เค้าจะเขียนเบียร์เป็น Bier นะจ๊ะ ไม่ได้พิมพ์ผิด)
ไปกันต่อที่ โรงเบียร์และพิพิธภัณฑ์เบียร์ Appenzeller (Appenzell Beer Museum) เดินข้ามสะพานตาม แผนที่ ไปเพียง 5 นาทีจาก Appenzell Museum

ทางเข้าพิพิธภัณฑ์เบียร์เดินเข้าทางด้านประตูแดงซ้ายมือเลย
ชมกันฟรีเลย

เดินชมกันก่อนแล้วค่อยไปช้อป ไปจิบเบียร์กัน อดใจกันซักแป๊บ โรงเบียร์ที่นี่ ทำเบียร์มากันหลายชั่วอายุคน เป็นธุรกิจครอบครัว ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ จะแสดงกรรมวิธีการหมักเบียร์ ตามขึ้นตอนต่างๆ
เริ่มจากคัดเลือกวัตถุดิบต่างๆ มีตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ของพืชหลากหลายชนิดที่ใช้ทำเบียร์ชนิดต่างๆ ให้เราได้ชมกัน
จากนั้น เข้าสู่กรรมวิธีการหมัก บ่ม เพื่อให้ได้เบียร์ชั้นดี และมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของประเทศสวิส
จากระยะเวลาการหมักและส่วนผสมที่ต่างๆ กันทำให้ได้เบียร์ Appenzeller หลากหลายเกือบๆ จะ 30 แบบ ให้เราได้เลือกชิมกัน
ชมกันเต็มอิ่มแล้ว ก็มาในส่วนของร้านค้า มีเบียร์ให้เลือกทุกแบบ เยอะที่สุดในเมือง สามารถซื้อปลีก ซื้อส่งยกลังกันได้ ฝรั่งชาวสวิสซื้อกลับไปกันคนละลังสองลังเลยทีเดียว 
นอกจากรสชาติของเบียร์ที่เป็นสุดยอดไม่แพ้เบียร์ชาติใดในโลก แพคเกจขวดก็ทำได้สวยงาม สามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากกันได้ (เสียดายที่สามารถหิ้วขึ้นเครื่องกันได้ไม่เกินคนละ 1 ลิตร) ตามรูปเป็นขวดขนาด 500 cm3 ฝากขวดทำเป็นจุกก๊อกลวดเก๋ๆ
แบบแช่เย็นพร้อมดื่มเลยก็มี เป็นไซส์ขวดละ 330 cm3
ราคาแล้วแต่ละชนิด (แต่ละชนิด มีส่วนผสมต่างกัน ประมาณแอลกอฮอล์ก์ต่างกันไปด้วย) ขวดนี้ ราคาอยู่ที่ 2 CF รสชาติสุดยอดมากต้องมาชิม มาจิบกันเอง
ฝาขวดเป็นฝาจีบเกลียว ไม่ต้องใช้ที่เปิดขวด สามารถบิดเปิดได้เหมือนขวดฝาเกลียวธรรมดา การมาเที่ยวโรงเบียร์ Appenzell นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์หลักของทริปเที่ยวเมืองอัพเพนเซลล์กันเลย ใครไม่มาพลาดอย่างแรง อิอิ










จากนั้นไปชมวิวบ้านเนินเขากัน
ส่วนจุดชมวิวบ้านเนินเขาจากตัวเมืองให้เดินไปด้านหลังของ Munster ตามแผนที่เลย




ปิดท้ายกับของที่ระลึก 
รีวิวร้านกระดิ่งผูกคอวัวและร้านของที่ระลึกอื่นๆใน Appenzell
ก่อนจะเดินทางกลับเมือง Zurich ก็เดินเที่ยวแวะซื้อของที่ระลึกต่างๆ กันก่อน 

บรรยกาศร้านขายของที่ระลึก นักท่องเที่ยวก็แวะชม แวะซื้อกันไม่ขาดสาย มีสินค้าพื้นเมืองต่างๆ มากมาย
เน้นหนักไปที่กระดิ่งผูกคอวัว หลายไซส์ หลากสีสันให้เลือก ยิ่งใหญ่ ยิ่งแพง จริงๆ แล้วเจ้ากระดิ่งนี้ มีขายทั่วประเทศ แต่ของเมือง Appenzell เค้าจะมีตัวหนังสือเขียนบอกไว้ด้วยว่ามาจากเมืองนี้ ใครจะซื้อกลับไปเป็นของฝาก ของที่ระลึก ของแต่งบ้านก็ได้ไม่ว่ากัน







ขากลับเข้า Zurich ก็ชมวิวบ้านเนินเขากันต่อบนรถไฟได้ สวยไม่แพ้ที่ใดในโลก
รวมรูปวิวบ้านเนินเขาเมือง Appenzell










ช่วงเย็นของวันนี้ เราจะเดินเล่นกันที่ Zuric เพิ่มเติม




แผนที่ Zuric Zuric Map






ตั้งต้นจากหน้าสนานีรถไฟ Zurich HB
นักท่องเที่ยวอย่างเยอะ ถนนเส้นนี้เป็นถนนช้อปปิ้งสำคัญของเมือง ร้านค้ากว่าร้อยร้านตลอดแนวถนน การมาช้อปปิ้งที่นี่ มีข้อแม้อย่างเดียวคือ ต้องเช็ควันหยุดราชการของทางสวิสให้ดีเพราะร้านค้าจะหยุดขายเกือบทั้งหมด
รถรางวิ่งผ่านตลอดเวลา เวลาเดินข้ามถนนต้องมองซ้ายมองขวากันดีๆ เลย
ร้านช้อปปิ้งมากมาย H&M นี่เยอะมาก เดินไปไหนมาไหนก็เจอ
Mango ที่นี่ Shop ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว สาวๆ ก็ระวังกระเป๋าฉีกกันนะ
ตรงไปเรื่อยๆ อากาศดี เย็นสบายเดินแล้วไม่มีเหนือย
จะเจอ Coop City ขวามือ ขายอาหารแบบหิ้วกลับไปทาน ราคาไม่แพง หน้าร้านมีไอศครีม Movenpick ให้ลิ้มลองกันด้วยแวะชิมไอศครีมอร่อยๆ รสชาตินมและช็อคโกแลตเข้มข้นกันที่ร้าน Movenpick ไอศครีมแห่งชาติ จนได้ฉายาว่า The Art of Swiss Ice cream ร้านนี้อยู่ตรงหน้า Coop City ฝั่งตรงข้ามกับทางขึ้นไป Lindenhofstrasse

ถึงแม้ว่าอากาศจะออกหนาวเย็น แต่เราก็บ่ยั่น จัดไอศครีมมากเติมพลังกันก่อนขึ้นเนิน ที่ร้าน Movenpick มีให้เลือกหลากหลายรส ทั้งแบบ โคน หรือ จะเป็น Scoop ใส่ถ้วยก็ได้
จัดไป 1 Scoop ขำๆ กับรสชาติแนะนำแห่งสวิสดินแดนของช็อคโกแลต ไอศครีมยี่ห้อ Movenpick นี้ ต้นตำรับก็อยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์นี่เอง แล้วขยายสาขาไปทั่วโลก (เมืองไทยก็มีให้ชิม) แต่มาที่นี่แล้วต้องจัดออริจินัลกันไป
รส Swiss Chocolate  เนื้อไอศครีมเหนียวนุ่ม สังเกตจะมีเกล็ดของช็อคโกแลตแบบจัดเต็ม อร่อยเข้มข้นทุกคำ ราคาค่าเสียหายอยู่ที่ 4.3 CF



--------------------------------------------------------------------------------------
ฝั่งตรงข้ามกับ Coop City จะมีซอยเล็กๆ ตรงร้านนาฬิกา Bucherer ให้เดินเลี้ยวขึ้นไปเพื่อชมวิวยังเนินเขาLindenhofstrasseไปชมวิวสวยๆ ของเมือง Zurich กันที่เนินเขา Lindenhoftrasse เนินเขานี้ สามารถเดินขึ้นมาง่ายๆ จากถนนหลักBahnhofstrasse เพียงแค่ 10 นาที

จากถนนใหญ่ Bahnhofstrasse เลี้ยวซ้ายเข้าซอยร้านนาฬิกา Bucherer แล้วตรงขึ้นไปเลย
สองข้างทางเป็นร้านขายของที่ระลึกเยอะแยะไปหมด
เดินเล่นเรื่อยๆ จะถึงทางขึ้นเนิน เดินขึ้นบันไดเลี้ยวขวาไปเลย
ขึ้นมาจะเจอกับลานด้านบน ทำเป็นสวนสาธารณะ ให้ประชาชนขึ้นมานั่งเล่นพักผ่อนกัน
เลาะเลียบริมขอบเนิน จะเป็นกำแพงหินเตี้ยๆ นั่งชมวิว ชาวสวิส ก็นิยมมานั่งปิคนิคทานข้าวกันที่นี่
ตัวเมืองซูริค ริมฝั่ง แม่น้ำลิมมัต (Limmat River) สวยบาดตาบาดใจ เห็นแล้วหายเหนื่อยกับที่เดินขึ้นเนินกันมาทีเดียว
ชมวิวกันอิ่มหนำแล้ว ก็ไปดูเค้าเล่นหมากรุกยักษ์กัน มีหลายกระดานกันทีเดียวบนลานกว้าง Lindenhofstrasse ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็จะเป็นบรรดาสว.ทั้งหลาย อิอิ
จากลานด้านบนให้เดินลงเนินอีกด้านนึง จะทะลุมายังหอนาฬิกายักษ์


รีวิว Lindenhofstrasse
ลงมาจาก Lindenhofstrasse จะผ่านมาทางหอนาฬิกาโบราณ โดยหน้าปัดเจ้านาฬิกายักษ์นี้ มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 8.5 เมตร
เดินทะลุทะลวงตามแผนที่ไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที ก็จะมาโผล่ที่แยก Parade Platz แยกนี้จะเป็นเหมือนจุดรวมสถานีรถรางในเมืองอีกจุดหนึ่ง แล้วก็มีร้านขนมอร่อยอย่างร้าน Sprungli ตั้งอยู่
รีวิวร้าน Sprungli สาขาแรกในสวิส
ร้าน Sprungli สาขาแรกในสวิส ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมของ Parade Platz นอกจากจะเป็นร้านขายช็อคโกแลตแล้วยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ช็อคโกแลตที่มีชื่อเสียงอย่าง Lindt ซึ่งจดทะเบียนรวมกันในนามของ Lindt & Sprungli (แผนที่ร้าน Sprungli

ตึกหัวมุมใหญ่ตรงจตุรัส Parade Platz หาไม่ยาก
ร้าน Sprungli นี้ ก่อตั้งโดย นาย David Sprungli ในปี ค.ศ. 1859 มีหลากหลายสาขาในสวิส นอกจากที่สาขาใหญ่ตรงParade Platz นี้แล้ว ก็สามารถแวะซื้อกันได้ตามร้านย่อยในสถานีรถไฟใหญ่ทั่วประเทศ  เรียกได้ว่ามีให้ชิมกันตลอดการเดินทางเลย
ไปชมด้านในร้านกัน ขนมหลักที่มีชื่อเสียงของที่นี่ เห็นจะหนีไม่พ้น เจ้า Luxemburgerli
ขนมหวานหน้าตาคล้ายๆ กับ แฮมเบอร์เกอร์อันจิ็ว ด้านบนล่างกรอบๆ ส่วนไส้ในขนมชนิดนี้ คิดค้นโดย เด็กฝึกงานชาว Luxemburg แล้วก็เกิดโด่งดังขึ้นมาด้วยรสชาติที่อร่อยจนเค้าตั้งชื่อขนมเพื่อเกียรติว่า Luxemburgerli
หลากหลายรสชาติให้เลือกไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแลต วนิลลา คาปูชิโน่ เบอรรี่ และอื่นๆ
ซื้อใส่กล่องกลับไปทานกันได้ มีหลากหลายไซส์ให้เลือก
จัดไป 1 กล่องเล็ก มี 16 ชิ้น เลือกรสชาติได้ตามใจชอบ สนนราคาอยู่ที่ 17.3 CF
จากนั้น มาเดินดูขนมอื่นๆ กันต่อ ที่มีชื่อเสียงรองๆ ลงมาจะเป็นช็อคโกแลตสด มีให้เลือกหลากหลายรสชาติอีกเช่นเคย
เยอะจริงไรจริง งานนี้มีอ้วนกันแน่ๆ 555
ส่วนของโซนเบเกอรี่ก็ดูน่าอร่อยไม่แพ้กัน แนะนำกันเลยสำหรับร้าน Sprungli นี้ แวะเวียนกันมาชิมขนมอร่อยๆ จิบคู่กับโกโก้ร้อนๆ
ถัดจากร้านขนมก็มาแวะร้านมีดพับสวิส Victorinox กัน ร้านนี้ ขายแทบทุกแบบ ในราคาไม่แพง บางรุ่นถูกกว่าร้านอื่น
รีวิวร้านมีดพับ Victorinox
ไปกันต่อที่ Fraumunster ด้านในนั้นมีกระจกสี ผลงานอันโด่งดังของ Marc Chagall เปิดให้เข้าชม ทุกวัน 10.00 - 16.00 น. ค่าเข้าชมฟรี
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต (ด้านในห้ามถ่ายรูป)
จากโบสถ์ Fraumunster จะเจอรูปปั้นคนขี่ม้า
กับวิวสวยๆ ของ Grossmunster ริมแม่น้ำ Limmat แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบซูริค
(วิวเมือง Zurich สวยๆ ริมแม่น้ำ Limmat)
เดินเลาะเลียบริมแม่น้ำมาเรื่อยๆ แล้วข้ามมาบนกลางสะพาน Quaibrucke Bridge ก็จะได้ภาพวิวสวยๆ ริมแม่น้ำ Limmat ที่รวมเอาวิวของทั้งหอนาฬิกายักษ์ - Fraumunster - Grossmunster

เดินกันมาเรื่อยๆ ก็จะถึงมหาวิหาร Grossmunster วิหารใหญ่โดดเด่นด้วยหอระฆังคู่ เปิดให้เข้าชม 10.00 - 18.00 น. ส่วนช่วงหน้าหนาวตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. - 28 ก.พ. ปิดเร็วขึ้น คือ 17.00 น.ตัวโบสถ์ชมฟรี ส่วนหอคอยชมเมืองเสียค่าขึ้นชม ผู้ใหญ่คนละ 4 CF เด็กและผู้สูงอายุ 2 CF
หลังจากชมวิหารกันแล้วก็มาเดินช้อปปิ้งดูสินค้ากัน หรือไม่ก็หาของอร่อยรองท้องกันได้ที่ถนน ก่อนกลับโรงแรม
รีวิว Oberdofstrasse & Niederdorfstrasse


ถนน Oberdorfstrasse และ Niederdorfstrasse

พามาถนนช้อปปิ้งและกินดื่มปิดท้ายวันแรกของทริปกันที่ถนน Oberdorfstrasse และ Niederdorfstrasse จากGrossmunster ก็เดินเลี้ยวไปด้านหลังตาม แผนที่ เลย

เริ่มจากถนน Oberdorfstrasse ถนนสายนี้ เน้นไปทางช้อปเสียมากกว่าจะมีร้านกินดื่ม
สองข้างทางมีร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าลดราคา
รองเท้าหลากหลายแบรนด์ ราคาไม่แพง ลดตลอดๆ มีลายให้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น N Balance Vans Onitsuka Adidas Nike Crocs บลาๆๆ
Onitsuka Tiger 69.9 CF หรือประมาณ 2,500 บาทเอง ถูกมาก!!
ส่วนใครที่ถามหามีดพับอีกยีห้อดังคือ Wenger กัน แถวนี้ก็มีชอปให้เลือกหลากหลายรุ่นเลยทีเดียว
หุ่นของมีดยี่ห้อนี้จะออกหนาๆ หน่อย แต่ก็มีประโยชน์ใช้สอบไม่แพ้กับของ Victorinox เลย ราคาก็ไม่แรง รุ่นอุปกรณ์มาตรฐาน ราคาไทยอยู่ที่พันต้นๆเท่านั้น
ส่วนสีสันก็มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน
จากถนน Oberdofstrasse เดินผ่านน้ำพุสวยๆ นี่ขึ้นไปทางเหนือ
จะเข้าสู่ถนน Niederdorfstrasse ถนนเส้นนี้เน้นหนักไปที่ร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านนั่งจิบชายามบ่าย
 Restaurant 1001 ร้านนี้ดังเรื่อง Kebab  มีให้เลือกหลากหลายไส้ ชิ้นใหญ่มากทานได้ 2 คนเลย

ติดๆ กันนั้นเป็นร้านขายเบอร์เกอร์ Louis ใครไม่ถนัดเคบับจะจัดเบอร์เกอร์ไปแทนก็ได้
สำหรับใครที่อยากทานอาหารเส้น ก็แนะนำที่ Spaghetti Factory
นอกนั้นก็มีร้านอาหารอื่นๆ เยอะแยะมากมาย เลือกทานกันได้สบายๆ เปิดกันถึงดึกดื่น












วันนี้เดินทางกลับ

ตื่นกินอาหารเช้า
ออกจากอพาทเม้น 09.30 น. เพื่อเช็คเอาท์อพาทเม้น  และเดินทางไปสนามบิน


กลับ ซูริค - กรุงเทพวันเสาร์, 9 พฤษภาคม 2015   13:30ซูริค (ZRH)5:30กรุงเทพ (BKK)

Thai Airways International (TG971) 
  • 11h00min

เดินไปสถานีรถไฟ เพื่อต่อรถไฟไปสนามบินซูริค
Zuric Map


ซื้อของว่างกิน ตอนเที่ยง เผื่อนหิว แต่บนสายการบินมีอาหาร เที่ยงและเย็นอยู่แล้ว